ทำเนียบรัฐบาล 26 ก.ย.-วิษณุชี้ ยิ่งลักษณ์ชดใช้ทางแพ่งโครงการรับจำนำข้าว 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปตามเกณฑ์กระทรวงการคลัง ที่เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องหาคนผิดมาชดใช้ร่วม ยืนยันไม่ได้กลั่นแกล้ง ใครผิดส่วนไหน รับผิดชอบส่วนนั้น
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงกรณี พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับผิดเรื่องการจำนำข้าวทั้งสี่ฤดูกาลจำนวน 2.7แสนล้านบาทว่า การรับผิดของอดีตนายกรัฐมนตรีผ่านการพิจารณาในขั้นตอนการรับผิดทางแพ่งของคณะกรรมการการรับผิดทางแพ่งและเห็นว่าเป็นความผิดเรื่องละเว้นการทำหน้าที่ เพราะได้รับการแจ้งเตือนแล้ว แม้ว่าฤดูกาล ที่ 1-2 ยังไม่ได้รับการแจ้งเตือน แต่เมื่อได้รับการแจ้งเตือนในฤดูกาลผลิตที่3-4 ยังละเว้นจึงถือว่ามีความผิดปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต จึงให้รับผิดเฉพาะสองฤดูกาลผลิตหลัง มูลค่าความเสียหายลดลงมาเป็น 3.5 หมื่นล้านบาทตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง ในกรณีที่เป็นกรณีรับผิดทำกันหลายคนแบ่งสัดส่วนการรับผิดแบ่งสัดส่วนไว้ 10 ถึง 20% กรณีนี้คิด20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการละเลยส่วน 80 เปอร์เซนต์ที่เหลือ ต้องไปเฉลี่ยกับผู้ที่มีส่วนรับผิดครั้งนี้
“ส่วน 80% ที่เหลือ ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พศ.2539 ระบุว่าไม่ให้ลูกหนี้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เพราะหากรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ยกตัวอย่าง 10 คนเหมาจ่ายเพียงคนเดียว อีก 9 คนไม่ได้จ่ายอันนี้ ไม่ได้ แต่ต้องเป็นการรับผิดแบบใครผิดใครจ่าย เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ 20% ส่วนอีก 80% ก็ไปหาผู้ที่รับผิดและต่างคนต่างจ่ายตามความผิดหนักเบา ส่วนเหตุผลที่ทราบชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์คนเดียว เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ส่งเรื่องมา แต่รายชื่ออื่นยังไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ต้องไปตามหากันต่อไป ขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) จะต้องทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ต้องทำกันหลายฝ่าย เบื้องต้นทราบว่า มีทั้งข้าราชการและเอกชนที่ต้องร่วมรับผิด” นายวิษณุ กล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า มาตรา 8 ในความรับผิดทางละเมิดหรือไม่ให้รับผิดแทนกัน เมื่อความเสียหาย 1.7 แสนล้านบาท คือคนเดียว ประธานที่ต้องรับผิดชอบในสัดส่วน 10 ถึง 20% จึงออกมาเป็นตัวเลขดังกล่าวที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบ ยืนยันว่ากฎหมายนี้ใช้มาตั้งปี 2539 ยึดทรัพย์มาแล้ว เกือบ 5000 ราย ใครที่ไม่ได้อยู่ในวงการราชการอาจจะไม่ทราบ และไม่รับรู้ ส่วนใครจะเป็นผู้หาคนผิดในอีก 80% ที่เหลือ สำหรับความรับผิดในทางแพ่งเป็นเรื่องของกระทรวงที่เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นต้นสังกัดต้องดำเนินการ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงใครกระทรวงมันที่ต้องไปหาผู้กระทำความผิด สำนักนายกรัฐมนตรีเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องที่ต้องไปหาผู้กระทำความผิด ขณะนี้ปปท.กำลังสอบอยู่ 50- 60 รายและบ่ายนี้(26 ก.ย.) จะมารายงานความคืบหน้าด้วย ส่วนนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องเซ็นลงนามหรือไม่ สามารถมอบอำนาจให้ใครก็ได้” นายวิษณุ กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าการใช้มาตรา 44 กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เป็นธรรม นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ได้ใช้มาตรา 44 ไปยึดทรัพย์ เป็นเรื่องของการที่ต้องตั้งต้นการกระทำวามผิดที่วินิจฉัยตามกฏหมาย ซึ่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ปี 2539 ขั้นตอนต่อไปก็ต้องยึดทรัพย์ เว้นแต่ไปร้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราวก็จะไม่ยึดทรัพย์ แต่หากไม่คุ้มครองชั่วคราวหรือไม่มีการฟ้องศาลก็ต้องยึดทรัพย์
นายวิษณุ กล่าวว่า ขอย้ำว่าไม่ได้ให้อำนาจ กรมบังคับคดีไปลงมือยึดทรัพย์ แต่จะยึดได้ต่อเมื่อมีคำสั่งเท่านั้นเอง และมีวิธี มีมารยาท ไม่ใช่บุกยึด ขนนู่นี่ มีกรรมวิธีขั้นตอน และยึดเสร็จก็ต้องเอามาขายทอดตลาด
เมื่อถามว่าหากจำเลยไม่สามารถชดใช้ทรัพย์ได้จะถือว่าเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น การล้มละลายมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เช่นการถูกฟ้องล้มละลายจะไม่สามารถลงสมัครผู้แทนได้ตลอดชีวิต
เมื่อถามว่าในช่วงเวลานี้จะสามารถถ่ายโอนทรัพย์สินได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า กรมบังคับคดีมีอำนาจบางอย่าง เช่น การจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินก่อนหน้านี้ หากเป็นการโอนหนีหนี้ สามารถเพิกถอนได้ หากโอนไม่ได้หนีหนี้ ซื้อขายตามสุจริต ก็ไม่ต้องเพิกถอน.-สำนักข่าวไทย