กทม.23 พ.ค.- ตำรวจท่องเที่ยวโชว์ผลงานจับกุมเอเย่นต์ชาวอินดียนำทะเบียนสมรสที่ชาวอินเดียจดกับหญิงไทย ที่ อ.บางม่วง สระบุรี ยื่นขอวีซ่าเพื่ออยู่ต่อโดยที่หญิงไทยไม่รู้เรื่อง เร่งกวาดล้างให้สิ้นซาก
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สอบปากคำนายบาจัน นิชาร์ด ชาวอินเดีย เอเย่นต์ที่ทำหน้าที่นำทะเบียนสมรสของชาวอินเดีย 300 คน ที่จดทะเบียนสมรสกับหญิงไทย 300 คน ที่อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี ไปยื่นขอวีซ่าคู่สมรสให้กับชายชาวอินเดีย โดยจับกุมได้แล้ว 7 ใน 300 คน และนำมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
พฤติการณ์คือ จะมีเอเย่นต์ชาวอินเดีย ติดต่อผ่านคนไทยตามหมู่บ้านต่างๆรวมถึงชาวอินเดียที่เข้ามาขายผ้า ขายถั่ว หรือปล่อยเงินกู้รายวัน รวบรวมสำเนาบัตรประชาชนของหญิงไทย ส่งให้เอเย่นต์ชาวอินเดีย เพื่อนำไปยื่นขอจดทะเบียนสมรส โดยร่วมมือกับอดีตปลัดอำเภอวังม่วง 2 คน และอดีตเจ้าหน้าที่เทศบาล 1 คน ออกทะเบียนสมรสโดยมิชอบหรืออำพราง แล้วให้นายบาจัน ไปยื่นขอวีซ่าคู่สมรสเพื่อได้สิทธิ์ในการอยู่ประเทศไทยนานขึ้น ความแตกเนื่องจาก มีหญิงไทยผู้เสียหายรายหนึ่ง ไปขอจดทะเบียนสมรสกับสามีคนไทย แต่พบว่าเป็นการมาขอจดทะเบียนซ้อนเนื่องจากมีชื่อจดทะเบียนสมรสกับชายชาวอินเดียไปแล้ว
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ คาดว่ายังมีหญิงไทยอีกจำนวนมากที่ถูกนำชื่อไปจดทะเบียนสมรสกับชาวอินเดียโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง เบื้องต้น จะขอศาลออกหมายจับชาวอินเดีย 300 คนในข้อหา ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารทางราชการปลอม และแจ้งเท็จต่อเจ้าพยักงาน แต่จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ชาวอินเดียที่จดทะเบียนสมรสอำพรางไหวตัวหลบหนีออกจากประเทศไปแล้ว 250 คน เหลือ 50 คนซึ่งจับกุมได้ 7 คนที่เหลือจะติดตามจับกุมต่อไป ส่วนอดีตปลัดอำเภอวังม่วง และอดีตเจ้าหน้าที่เทศบาล ถูกให้ออกจากราชการตั้งแต่ปี 2558 และถูกดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทราบว่ายังอยู่ในคุก ส่วนหญิงไทยผู้สียหายนั้นจะทำเรื่องประสานไปยัง อ.วังม่วง เพื่อเพิกถอนทะเบียนสมรสให้กับทุกคน
ด้าน น.ส.พรทิพย์ สิงห์โพธิ์ทอง อายุ 49 ปี แม่ค้าไก่ย่าง หนึ่งในผู้เสียหายเล่าว่า มีแขกขายผ้า ที่รู้จักมักคุ้นมาขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ด้วยความเชื่อใจจึงให้ไปโดยไม่ได้ซักรายละเอียด กระทั่งมีตำรวจโทร.มาสอบถามเรื่องจดทะเบียนสมรสกับชาวอินเดีย ตนก็ปฏิเสธพร้อมให้ข้อมูลว่า มีเพื่อนบ้านย่านเสนานิคม เขตจตุจักร ประมาณ 50 คนก็ได้มอบสำเนาบัตรประชาชนให้ชาวอินเดียไป คาดว่าจะถูกนำไปใช้ยื่นขอจดทะเบียนสมรสอำพรางเช่นกัน
ขณะที่ น.ส.อรสา ทองกร แม่บ้านสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ขณะไปติดต่อขอจดทะเบียนสมรสกับสามี เจ้าหน้าที่แจ้งว่าหากจดอีกจะเป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อนเนื่องจากได้จดกับชายชาวอินเดียไปแล้ว คาดว่าสำเนาบัตรประชาชนของตนที่ถูกนำไปจดทะเบียนสมรสกับชาวอินเดีย น่าจะมาจากหัวหน้าแม่บ้านที่ทำงานเก่า ขโมยไปให้ชาวอินเดีย
พล.ต.ต..สุรเชษฐ์ ยังเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งที่ จ.นครรราชสีมา มีชาวอินเดีย สมัครเรียนถึง 300 คน ทั้งที่เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น และไม่มาเรียนจริง โดยสมัครเพื่อเอาสิทธิ์การศึกษาไปยื่นขอวีซ่าการศึกษาเพื่ออยู่ในประเทศไทยได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังพบโรงเรียนสอนภาษาที่ จ.ชลบุรี มีนักเรียนเพียง 80 คน แต่มีครูชาวอินเดียถึง 200 คน คาดว่า ใช้สิททธิ์ในลักษณะเดียวกันเพื่อได้อยู่ต่อ ซึ่งจะขยายผลเพื่อกวาดล้างจับกุมต่อไป ส่วนสาเหตุที่เกิดปัญหาลักษณะนี้ เนื่องจากชาวอินเดีย เข้าประเทศไทยโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวสามารถอยู่ประเทศไทยได้ 15 วัน แต่เมื่ออยู่เกิน จึงหาวิธีที่จะได้อยู่ต่อเป็นเวลา 1 ปี หากครบและต้องการอยู่ต่อ ก็จะยื่นเอกสารขออยู่ต่อด้วยเหตุผลต่างๆทั้งดูแลภรรยา หรือเรื่องการศึกษา.-สำนักข่าวไทย


