กระทรวงการคลัง 18 พ.ค. – คลัง เผย นครราชสีมา ยื่นขอประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สูงสุด 46 ราย ด้านสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน อนุมัติแล้วกว่า 11,000 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนเมษายน 2561 ว่า สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตทั้งสิ้น 470 ราย ใน 66 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 46 ราย กรุงเทพมหานคร 39 ราย และร้อยเอ็ด 29 ราย
ทั้งนี้ มีจำนวนที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 72 ราย ใน 39 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิ 398 ราย ใน 64 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 348 ราย ใน 63 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ ได้เปิดดำเนินการแล้ว 221 ราย ใน 56 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 182 ราย ใน 52 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 13,592 บัญชี รวมเป็นเงิน 358.31 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,361.75 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 7,250 บัญชี เป็นเงิน 224.75 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.73 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 6,342 บัญชี เป็นเงิน 133.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.27 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 3,399 บัญชี คิดเป็นเงิน 90.90 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน มีจำนวน 178 บัญชี คิดเป็นเงิน 5.63 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.19 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 78 บัญชี คิดเป็นเงิน 2.65 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.92 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน
โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 248,108 ราย เป็นเงิน 11,084.40 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 232,418 ราย เป็นเงิน 10,390.69 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียน เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 15,690 ราย เป็นเงิน 693.71 ล้านบาท
การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 มีการจับกุมผู้กระทำผิดรวมทั้งสิ้น 2,351 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จำนวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจำจังหวัด
ขอความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้นอกระบบให้หันมาดำเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สำคัญของประชาชน นอกจากนี้ หากพบว่า ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ได้รับใบอนุญาตมีการปล่อยเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ขอให้ตำรวจดำเนินการทางกฎหมายและแจ้งมายัง สศค. เพื่อพิจารณาบทลงโทษหรือเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับสินเชื่อนอกระบบได้โดยตรงที่สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1135 หรือขอคำแนะนำได้ที่ สายด่วน 1359 . – สำนักข่าวไทย