“ลูกชายป๋าเหนาะ” เชื่อพ่อไม่มีนัยยะทางการเมือง แค่ชี้ปัญหาใน จ.สระแก้ว ให้นายกรัฐมนตรีมาแก้ไข ยันไม่หนุนนายกรัฐมนตรีคนนอก พร้อมปักหลักพรรคเพื่อไทย
กรุงเทพ 12 พ.ค.-นายสรวงศ์ เทียนทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระแก้ว พรรคเพื่อไทย และบุตรชายของนายเสนาะ เทียนทอง แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น กล่าวถึงการเตรียมเดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งฃาติ หรือ คสช. ว่า ส่วนตัวทราบจากการรายงานข่าวของสื่อมวลชน ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีเดินทางมา ตนในฐานะที่เป็นอดีตส.ส.ดูแลพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ก็รู้สึกยินดี เพราะจะทำให้จังหวัดเกิดความเจริญยิ่งขึ้น แต่มองว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมต้อนรับแบบนักการเมือง เพราะตนเองมีสถานะเป็นแค่ประชาชนคนหนึ่ง
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าการลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วของนายกรัฐมนตรี มีนัยยะทางการเมือง โดยเฉพาะการดึงตัวนายเสนาะเข้าร่วมงานในอนาคต นายสรวงศ์ กล่าวว่าในส่วนของบิดา ตนเองมั่นใจว่าไม่มีนัยยะเรื่องการเมืองและเข้าใจในเจตนาของบิดาดีว่าต้องการให้นายกรัฐมนตรีมารับทราบและแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ตลาดโรงเกลือที่ซบเซาลง เนื่องจากมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลไปเรียกรับเก็บส่วย ทำให้ผู้ค้าที่ตลาดขายไม่ได้
ขณะที่ความเป็นไปได้ที่จะร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะตนเองและบิดาพูดคุยกันตลอดและทราบจุดยืนดี จึงอยากขอเปลี่ยนจากการใช้คำว่ารัฐบาลแห่งชาติ เป็นการทำงานร่วมกันหลังเลือกตั้ง
“ผมยืนยันไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนนอกที่มาจากการยกมือโหวต แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ใครจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ตนก็ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำหน้าที่เพื่อประชาชน อย่าเอาชนะกันเหมือนในอดีต ต้องช่วยกันทำงาน ช่วยกันประคับประคองให้ประเทศเดินหน้าและให้รัฐบาลทำงานเพื่อประชาชนให้เกิดความราบรื่นมากที่สุด เรื่องใดที่ยอมได้ก็ขอให้ยอมๆกัน “นายสรวงษ์ กล่าว
นายสรวงษ์ กล่าวว่า ขออย่ากังวลเรื่องการดูดให้ไปเข้าร่วมกับพรรคใด เพราะส่วนตัวมีจุดยืนชัดเจนที่จะทำงานกับพรรคเพื่อไทย และมองว่าคนรุ่นใหม่ก็สามารถทำงานกับพรรคเพื่อไทยได้ ทั้งนี้ไม่ต้องการให้มีการสืบทอดอำนาจจากรัฐบาล คสช. รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ขอเพียงอย่างเดียว คืออย่าโกง และไม่ว่าผลเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับตามกติกาและร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไป
นอกจากนี้ นายสรวงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการดำเนินงานของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะทุกวันนี้โลกเดินเป็นวินาที ทุกอย่างก้าวไปอย่างรวดเร็ว การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศถอยหลังและจะไม่สามารถตามคนอื่นได้ทัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องปลดล็อค.-สำนักข่าวไทย