เหยื่อทหารปืนดุเล่านาทีชีวิต

นครพนม 12 พ.ค.61- น้องชายเหยื่อทหารปืนโหดเผยรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเหมือนตั้งใจฆ่าสุดอำมหิต ทั้งที่เป็นเพียงคนป่วยที่ขอทหารให้มาช่วยรับตัวไปรักษา ไม่ใช่คนร้าย พี่ชายพยายามหนีสุดชีวิต ว่ายน้ำข้ามห้วย ยังตามไปยิงทั้งที่ร้องขอชีวิตแต่ก็ยังไม่ฟัง


ความคืบหน้าคดีทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 3 กองพันทหารราบที่ 3 จ.นครพนม ทำร้ายร่างกาย นายพัฒนพงษ์ ถานัน อายุ 36 ปี ทั้งยิงเข้าที่ขา และใช้ไม้ตีศีรษะซ้ำจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา กระทั่งนายดุสิต ถานัน บิดาผู้เสียชีวิตออกมาร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ เนื่องจากคดีไม่คืบ ขณะที่หน่วยทหารไม่รับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  อ้างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ยอมเผาศพ และเก็บไว้ในโรงเย็น เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับกองทัพบกให้ออกมารับผิดชอบ และดำเนินคดีกับทหารที่ฆ่าลูกชายให้ถึงที่สุด เกรงว่าจะมีการวิ่งเต้นปิดคดี 

แม้ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 นครพนมออกมายืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ดำเนินคดีตามกฎหมาย และพร้อมจะมีการดูแลชดเชยเยียวยาตามขั้นตอน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาตกลงระหว่างผู้เสียหายกับทหารคู่กรณี แต่ทางครอบครัวของผู้เสียหายยังไม่พอใจ เพราะรับไม่ได้กับการกระทำที่รุนแรง เกิดกว่าเหตุ 


ในส่วนของคดี ได้ตั้งข้อหากับทหารที่ก่อเหตุแล้ว 2 นาย คือ จ.ส.อ.กิติตศัพท์ อิททร์ติยะ ที่ใช้อาวุธปืนยิง และ ส.ต.ธีรวัฒน์  ไชยขันธ์ ที่ใช้ไม้ทุบตี จนเป็นเหตุให้นายพัฒนพงษ์ ข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย อยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว จากการสอบสวนให้การว่า ปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุ ต้องป้องกันตัว เพราะผู้ตายอาละวาด พยายามใช้มีดฟันต่อสู้  ทั้งยังแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ตายเช่นกัน ในข้อหา ต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงาน และทำให้เสียทรัพย์    

ด้านนายอภิชาติ ถานัน น้องชายผู้ตายเผย พี่ชายจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทำงานดูแลครอบครัวมาตลอด   แม้จะป่วยเป็นโรคเครียด มีอาการโวยวายบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นจะไปทำร้ายใคร ยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะอยู่ในเหตุการณ์ตลอด เห็นกับตา ข้ออ้างปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุฟังไม่ขึ้น ยอมรับว่าพี่ชายต่อสู้ขัดขืน ช่วงทหารพยายามเข้าคุมตัวพี่ชายไปรักษาด้วยโรคเครียด ตามที่พ่อตนร้องขอ ทำให้ทหารไม่พอใจ แต่ก็เพียงเพื่อหนี ไม่มีเจตนาจะทำร้ายใคร เป็นการกระทำที่รุนแรง รู้สึกเสียใจในช่วงนาทีชีวิตเข้าห้ามไม่ทัน ยืนยันจะเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้เอาผิดทหารให้ถึงที่สุด.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”