โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น 25 เม.ย.-ประธานกรธ.ชี้รธน. 60กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ใช้แค่ทางผ่าน แต่สอบการทำงานของรัฐได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้อง แนะจัดคนส่องโซเชียลจะพบประชาชนเดือดร้อนเรื่องต่าง ๆ จำนวนมาก
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ “หน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” ในงานสัมมนาของสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินเรื่อง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน : บทบาทใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยอธิบายความเป็นมาของผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ในปี 2514 มีโอกาสไปดูงาน Ombusman ใน 2-3 ประเทศ พบว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องมีความรอบรู้ในการบริหารราชการแผ่นดิน สอดส่องดูแลว่าหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกัน
ประธานกรธ. กล่าวว่า ปี 2533 ได้มีโอกาสยกร่างรัฐธรรมนูญ จึงบัญญัติให้มีผู้ตรวจการแผ่นดินประจำรัฐสภา แต่กลับถูกนักวิชาการต่อว่าเป็นเผด็จการ นำคนอื่นมาควบคุมดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ จนต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวออกจากรัฐธรรมนูญ ปี 2540 นักวิชาการรุ่นใหม่เข้าใจผู้ตรวจการแผ่นดินมากขึ้น จึงมีบทบัญญัติให้มีผู้ตรวจการแผ่นดินในรัฐธรรมนูญ แต่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ผิดเพี้ยนไป เช่น การให้มีอำนาจสอบสวนไต่สวน ความรู้สึกหน่วยงานรัฐจึงเป็นลักษณะปฏิปักษ์
นายมีชัย กล่าวว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 กรธ.จึงปรับใหม่ โดยกำหนดให้ชัดเจนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องคอยสอดส่องดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่จำเป็นต้องรอผู้ร้องเรียนเหมือนที่รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนด และไปดูว่ามีกฎหมายใด กติกาใด สร้างภาระให้ประชาชนเกินความจำเป็นที่รัฐธรรมนูญจะกำหนด ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 เขียนรัฐธรรมนูญในเชิงอำนาจ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เขียนวิธีการทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดินให้นั่งรออยู่ที่โต๊ะ แต่หากผู้ตรวจการแผ่นดินจะแก้ปัญหาความเดือดร้อนจะต้องสามารถสอดส่องได้
“เราพยายามกันผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาจากองค์กรตรวจสอบ เลยไม่ให้กระบองผู้ตรวจและให้ใช้บทของกฎหมายลงโทษหน่วยงานที่ไม่ทำตามแทน ที่สำคัญเราพยายามให้ผู้ตรวจการเป็นเหมือนที่ปรึกษาให้หน่วยงานรัฐ ช่วยติดตามกฎหมายหรือแก้ไขปัญหาแก่หน่วยงานรัฐ ถ้าเรารู้ความเดือดร้อนของประชาชน ทำไมเราจะต้องรอให้เขาร้องเรียน ทำไมเราไม่ลงไปดู ผมยังคิดเลยว่าผู้ตรวจการแผ่นดินควรจะมีสัก 3-5 คน ท่องเข้าไปในเว็บ แล้วจะพบเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมที่น่าตระหนกไม่น้อย แล้วเราสามารถจับความผิดปกติหรือความไม่ชอบมาพากลนั้นมาดูว่าเกิดจากอะไร เกิดจากกฎหมาย กฎข้อบังคับ หรือเกิดจากตัวเจ้าหน้าที่ แล้วก็มาคิดอ่านกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร” ประธานกรธ. กล่าว
นายมีชัย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 เริ่มต้นที่ดูว่ากฎหมาย กฎกติกาทั้งปวงที่มีอยู่สร้างภาระและความเดือดร้อนเกินความจำเป็นผิดไปจากที่รัฐธรรมนูญวางไว้หรือไม่ กฎหมายบางฉบับกำหนดในสิ่งที่เป็นความผิดตามธรรมชาติของมนุษย์ ยกตัวอย่าง กฎหมายที่กำหนดให้ยามที่รักษาความปลอดภัยตามบ้านต้องขอใบอนุญาต ทำให้ยามทั่วประเทศไม่สามารถขอใบอนุญาตได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 อีกทั้งยังต้องผ่านการอบรมทั้งที่ไม่มีหลักสูตรการอบรม
“กลายเป็นว่า หลายคนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และยังไม่มีหลักสูตรรองรับ ซึ่งหากผู้ตรวจการแผ่นดินสำรวจจะพบว่า มีกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน พร้อมแนะนำให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าไปในโซเชียลมีเดียแล้วจะพบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมากมายที่ต้องช่วยแก้ไขโดยไม่ต้องรอผู้ร้อง เพราะหากทำงานแบบเดิมจะไม่สามารถพัฒนาตามหลัก 4.0 ได้ และตอนนี้ก็เป็นได้แค่ 0.4 เท่านั้น” ปรานกรธ. กล่าว
นายมีชัย กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่เป็นทางผ่านแบบที่เคยเป็น เราให้เป็นเครื่องมือเพื่อทำหน้าที่ 2 ประการ โดยเขียนว่าในการปฏิบัติหน้าที่ คือไปศาลรัฐธรรมนูญและไปศาลปกครอง ขณะที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจเฉพาะบุคคล คงไม่สามารถลงไปสามารถสอดส่องดูแลได้ ดังนั้น จึงเปิดโอกาสว่าคนจะมาร้องเรียนก็ได้ เพื่อเน้นให้เห็นว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเป็นคนแก้ทุกข์ ไม่ว่าทุกข์นั้นจะเป็นทุกข์เฉพาะตัวหรือทุกข์ภาพรวม
“จึงให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าเมื่อความปรากฎว่ามีผู้เดือดร้อน ไม่ว่าจะมีผู้ร้องหรือไม่ก็ตาม ทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีหน้าที่ดำเนินการได้เลย อำนาจนั้นจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำหน้าที่ รัฐธรรมนูญปี 2560 จึงมุ่งเน้นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมองในภาพกว้างมากกว่าการแก้ทุกข์ในรายบุคคล เพื่อทำให้ประชาชนโดยรวมได้รับความสะดวกรวดเร็ว ไม่ถูกข่มเหงลิดรอนสิทธิเกินกว่าที่ควรจะเป็น” ประธานกรธ. กล่าว
นายมีชัย ยังกล่าวด้วยว่า ความผิดพลาดของระบบการทำงานของไทยคือการตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่สุดท้ายต้องกลับมาสู่จุดเดิม เหตุใดจึงต้องตั้งอีก จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินลงไปตรวจสอบการทำงานของเหล่าคณะกรรมการว่าทำงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ และการมาประชุมได้สนใจเรื่องที่ได้รับมอบหมายเพียงใด อีกทั้งควรเอาผิดหากพบว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ทำงาน เพื่อเป็นตัวอย่างและต่อไปจะได้ไม่อยากเข้าไปเป็นคณะกรรมการอีก.-สำนักข่าวไทย
