กทม.17มี.ค.-จักษุแพทย์เผยโรคกระจกตาโก่งเกิดจากเส้นใยคอลลาเจนอ่อนแอ พบมีความสัมพันธ์กับการขยี้ตารุนแรง เผยวิธีรักษาแบบใหม่ อีกทางเลือกไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา ใส่วงแหวนขึงกระจกตาและการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ
วันนี้ (17 มี.ค.) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยศูนย์เลเซอร์สายตาจุฬาฯ ฝ่ายจักษุวิทยา และภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานประชุมวิชาการโรคกระจกตาโก่ง (Keratoconus Meeting) และกิจกรรมเสวนาให้ความรู้และแนวทางการรักษาเกี่ยวกับโรคกระจกตาโก่งกับประชาชนทั่วไป ณ บริเวณหน้าศูนย์เลเซอร์สายตา ตึก 14 ชั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
รศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ หัวหน้าศูนย์เลเซอร์สายตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ภาวะกระจกตาโก่งเกิดจากเส้นใย คอลลาเจนอ่อนแอ ซึ่งพบว่า มีความสัมพันธ์กับการขยี้ตาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่มักขยี้ตาด้วยการใช้ข้อนิ้วกดลูกตา จนเกิดการโก่งของกระจกตา อันจะส่งผลต่อค่าสายตา หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจทำให้กระจกตาพิการและตาบอดได้
สำหรับวิธีการรักษาแบบใหม่ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในแวดวงจักษุแพทย์ คือการใส่วงแหวนขึงกระจกตาและการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ (Crosslinking) ถือเป็นอีกทางเลือกที่ให้ผลการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ป่วยหลายรายไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีความซับซ้อนและต้องรอคอยกระจกตาจากผู้บริจาคอวัยวะนั่นเอง
รศ.พญ.งามจิตต์ กล่าวให้คำแนะนำด้วยว่า ผู้ที่สายตาสั้นหรือเอียง แล้วต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อยๆ เนื่องจากค่าสายตาสั้น หรือสายตาเอียงเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นคือ 100 หรือ -1.0 ต่อปี อาจต้องพึงระวังโรคกระจกตาโก่งและเข้าพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียดและแนะนำว่าไม่ควรขยี้ตาอย่างรุนแรงด้วย .-สำนักข่าวไทย