เลย 8 มี.ค.-นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย แจงจับกุมนายเสน่ห์ หมอนวดเทวดา เหตุไม่มีใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์
จากกรณีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2561 เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย ตำรวจ สภ.ภูหลวง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอภูหลวง ได้เข้าจับกุมนายเสน่ห์ ศรีประวัติ หรือหมอเสน่ห์ อายุ 49 ปี ชาว อ.ภูหลวง จ.เลย หมอนวดเปิดรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก และเส้นเอ็น โดยตั้งข้อกล่าวหาเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2556 และเป็นผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ซึ่งหลังจากข่าวการจับกุมนายเสน่ห์ ได้เผยแพร่ออกไปทางโซเชียลมีเดีย มีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะนายเสน่ห์ เป็นหมอพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการรักษาคนป่วยแล้วหายหลายรายนั้น
วันนี้มีคำชี้แจงจาก นายวิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย เปิดเผยถึงสาเหตุการจับกุมนายเสน่ห์ ครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2558 มีผู้ร้องเรียนเข้ามาว่า เข้าไปรับการรักษาโรคกระดูกทับเส้นจากนายเสน่ห์ แต่อาการไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิม จ่ายค่ารักษาครั้งละ 500- 1,200 บาท รวมกว่า 10,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ พบว่านายเสน่ห์ ที่ตั้งตัวเองเป็นหมอพื้นบ้าน เรียนนวดเพียง 150 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการนวดนวดส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น ไม่ใช่การนวดรักษาโรคและไม่มีใบอนุญาตขึ้นทะเบียนกับทางราชการ สถานที่ก็ดัดแปลงมาจากฟาร์มเลี้ยงไก่เดิม เป็นเหมือนเรือนนอนให้ผู้ป่วยพัก คล้ายกับสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนให้ปิดทำการ หากจะเปิดรักษาต่อ ก็ให้ไปยื่นขอจดทะเบียนให้ถูกต้อง หลังจากนั้นก็หายเงียบไป กระทั่งในปีนี้ เริ่มมีคำบอกเล่าจากผู้ไปรักษากับนายเสน่ห์ เผยแพร่มาทางโซเชียลมีเดีย ว่าหายจากอาการป่วย ซึ่งถือว่าเป็นการโฆษณาโดยบุคคลอื่น บางรายมีอาการปวดเมื่อยธรรมดาก็อาจจะหาย แต่สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคจริงๆ ก็เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจสอบ พบว่านายเสน่ห์กลับมาเปิดรักษาอีกครั้ง และเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือว่าตักเตือนแล้ว
อย่างไรก็ตาม สสจ.เลย พบว่ายังมีการเปิดรักษาโรคในลักษณะนี้อีกหลายแห่งในจังหวัดเลย เจ้าหน้าที่กำลังออกไปตรวจสอบ และจะดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน.-สำนักข่าวไทย