นนทบุรี 23 ก.พ. – อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมั่นใจหลังชี้แนะเกษตรกรชาวสวนสับปะรดนางแลไทยโกอินเตอร์ได้แน่โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น ด้วยพัฒนาคุณภาพ เทคนิคการรักษาความสด ทำให้ยืดอายุนานถึง 7 วัน แข่งขันกับฟิลิปปินส์-ไต้หวันได้ ยังสามารถเจาะตลาดจีน-สิงคโปร์ และวางขายในท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า (กองทุนเอฟทีเอ) ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตสับปะรดนางแลเพื่อการส่งออก ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย พบว่าหลังจากกองทุนเอฟทีเอเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันในรูปวิสาหกิจชุมชน มีระบบเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดที่ชัดเจน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเจรจาต่อรองและการกำหนดราคาจำหน่ายได้คุ้มกับต้นทุนการผลิตและมีกำไร รวมทั้งสามารถขยายตลาดส่งออกได้ทั้งในและต่างประเทศ
ด้านการทำตลาดต่างประเทศ สามารถผลักดันให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสวน ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้สารเคมีให้เป็นไปตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ผลักดันให้รวมกลุ่มทำการผลิตและการตลาดในชื่อ “วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตสับปะรดนางแลเพื่อการส่งออก” โดยใช้ตราสัญลักษณ์สินค้า “Nang Lae Pine” เป็นโลโก้ของสินค้า ช่วยทำการศึกษาวิจัยด้านการตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคในญี่ปุ่น ทำให้ทราบว่าชาวญี่ปุ่นชื่นชอบสับปะรดนางแลที่มีรูปร่างน่ารัก ผลขนาดเล็ก บริโภคได้หมดในคราวเดียว นำไปเป็นของขวัญได้ พึงพอใจซื้อราคาตั้งแต่ 300 เยนขึ้นไป หรือประมาณ 90 บาท
ขณะเดียวกันได้ช่วยพัฒนาเทคนิคและวิธีการจัดการก่อนและหลักเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยการควบคุมอุณหภูมิในการเก็บรักษาผลผลิต ตลอดจนการขนส่งจากไทยไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งมีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการแปรรูปสับปะรดผลสดตัดแต่งพร้อมรับประทานที่สามารถยืดอายุความสดได้นานถึง 7 วัน โดยเนื้อผลสับปะรดยังคงคุณสมบัติและคุณภาพความสดไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้สับปะรดนางแลได้รับความนิยมในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถแข่งขันได้กับสับปะรดที่นำเข้าจากฟิลิปปินส์และไต้หวันได้
นอกจากนี้ กองทุนเอฟทีเอยังได้ช่วยเหลือให้สินค้าสับปะรดผลสดไทยที่ผลิตโดยเกษตรกรสมาชิกมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทั้งลักษณะของรูปผลสดและสินค้าแปรรูป เช่น ท็อฟฟี่ แยม เป็นต้น รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการบริโภคด้วยระบบการตรวจสอบย้อนกลับผ่านระบบ QR Code ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพสินค้าว่าเพาะปลูกและผลิตด้วยคุณภาพและมาตรฐานที่ตรวจสอบได้ เพราะผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในระบบเกษตรที่ดีและเหมาะสมของประเทศไทย (GAP) และมาตรฐานในระบบเกษตรที่ดีและเหมาะสมของประเทศญี่ปุ่น (JAS) ล่าสุดกลุ่มเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกสับปะรดมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีการขยายการผลิตไปยังกลุ่มทายาทสมาชิกเกษตรกรเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตที่กลุ่มเกษตรกรผลิตได้สามารถส่งจำหน่ายผ่านทางท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ตในรูปของสับปะรดผลสดและผลผลิตบางส่วนได้นำมาแปรรูปเป็นสับปะรดกวน แยม และน้ำสับปะรด จำหน่ายในชุมชนบริเวณใกล้เคียง
ส่วนการส่งออก นอกจากการผลิตและส่งออกสับปะรดไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการส่งออกไปจำหน่ายประเทศจีนและสิงคโปร์ได้เพิ่มขึ้นด้วย และการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด กองทุนเอฟทีเอได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) โดยญี่ปุ่นให้โควตานำเข้ากล้วยหอมและสับปะรดสดไทยแบบยกเว้นภาษีโดยเพิ่มโควตาให้ทุกปีตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยในส่วนของสินค้าสับปะรดผลสดไทยที่มีน้ำหนักผลไม่เกิน 900 กรัม (คิดน้ำหนักรวมทั้งผล และมีหรือไม่มีจุกขั้วผลก็ได้) ในการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้โควตาภาษีในการนำเข้าประเทศญี่ปุ่นในปีที่ 1 จำนวน 100 เมตริกตัน และทยอยเพิ่มขึ้นปีละ 50 เมตริกตัน จนถึง 300 เมตริกตันในปีที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีนำเข้าประเทศญี่ปุ่นจากอัตราเดิมร้อยละ 17 ลดลงเป็นร้อยละ 0 (ในโควตา) และยังคงอัตราภาษีนำเข้าที่ร้อยละ 17 สำหรับการนำเข้าสินค้าสับปะรดผลสดที่เกินกว่าโควตาที่ได้รับ (นอกโควตา) ซึ่งที่ผ่านมาไทยใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกสับปะรดผลสดลักษณะนี้น้อยมาก แต่หลังจากกองทุนเอฟทีเอเข้าไปช่วยเหลือ สามารถทำให้สับปะรดไทยเจาะเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง.- สำนักข่าวไทย