กรุงเทพฯ 7 ก.พ.- “ศรีวราห์” สั่งอายัดปืน 43 กระบอกรวมทั้งงาช้างสองคู่ของ “เปรมชัย” ตรวจสอบเอี่ยวคดีหรือไม่ ยันจากหลักฐานแวดล้อมมีพฤติการณ์ชอบล่าสัตว์ เรียกเจ้าหน้าที่อุทยานสอบปากคำพรุ่งนี้
พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยผลการตรวจค้นบ้านพัก นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันล่าสัตว์ป่าสงวน เบื้องต้น พบงาช้างสองคู่ ที่ภรรยาของนายเปรมชัย อ้างว่ามีใบอนุญาตในการครอบครองถูกต้อง แต่จากการตรวจสอบพบไม่มีสติ๊กเกอร์อนุญาตติดอยู่ที่งาช้างจึงต้องยึดให้กรมอุทยานฯตรวจสอบว่าเป็นงาช้างชิ้นเดียวกันกับที่ขอใบอนุญาตไว้หรือไม่
นอกจากนี้นอกจากนี้ ยังพบอาวุธปืนปืน 43 กระบอก แบ่งปืนยาว 41 กระบอก ปืนพกสั้น 2 กระบอก โดยปืนยาวแบ่งเป็นประเภทลูกซอง 13 กระบอก และปืนไรเฟิลติดกล้อง .22/ .30 กระสุนปืนชนิดต่างๆ เกือบ 2,000 นัด จึงให้อายัดอาวุธปืนทั้งหมดไว้ตรวจสอบทะเบียนการครอบครอง รวมถึงดีเอ็นเอลายนิ้วมือ หาความเชื่อมโยง ซึ่งจากปืนที่พบทำให้เชื่อได้ว่า เป็นหลักฐานแวดล้อมชัดเจนว่า นายเปรมชัยมีพฤติการณ์เป็นคนชอบล่าสัตว์ เนื่องจากปืนยาวส่วนใหญ่เป็นปืนคล้ายกับอาวุธปืนที่ใช้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และในมุมของนักสืบมองว่ามีเจตนาเข้าไปล่าสัตว์ชัดเจน เพราะไม่มีการเตรียมเสบียงอาหาร แต่ในทางสำนวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้ง แต่หากนายเปรมชัย จะอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือยิงก็ให้ไปต่อสู้ในชั้นศาล แต่ขอให้เชื่อได้ว่า ตำรวจมีพยานหลักฐานเอาผิดได้ทั้ง 4 คน
สำหรับวันพรุ่งนี้ จะเชิญเจ้าหน้าที่อุทยานที่เข้าเวรในช่วงวันเกิดเหตุมาสอบปากคำที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม หรือ ปทส.
ส่วนกรณีคลิปเสียงเจรจาต่อรอง และผู้อนุญาตให้เข้าพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ พร้อมยืนยันหากใครมีส่วนรู้เห็นในการเข้าไปล่าสัตว์ก็ต้องมีความผิดด้วย ส่วนนายเปรมชัยก็ต้องเรียกมาสอบสวนเรื่องการครอบครองปืน ส่วนจะเรียกมาเมื่อไหร่อยู่ระหว่างตรวจสอบทะเบียนปืนก่อน
ส่วนกระแสข่าวว่าในห้องทำงานของนายเปรมชัยมีหนังเสือโคร่งประดับอยู่ ขอนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง
ทั้งนี้ วันนี้มีการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาในคดีทั้งหมด4คน ในจังหวัดกาญจนบุรี นนทบุรี ราชบุรี นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร รวม6จุด ซึ่งพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดี เพียงที่บ้านของนายเปรมชัย ส่วนจุดอื่นไม่พบสิ่งผิดกฏหมาย.-สำนักข่าวไทย