กรุงเทพฯ 28 ม.ค. – ปลัดพาณิชย์ร่วมถกอาเซียนแนะนโยบายยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมาได้เข้าร่วมการประชุมคณะทำงานระดับสูงว่าด้วยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน หรือ HLTF-EI ครั้งที่ 33 ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้ข้อเสนอแนะระดับนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน
นางนันทวัลย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะทำงานระดับสูงแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อประเด็นด้านเศรษฐกิจที่สิงคโปร์ในฐานะประธานอาเซียนปี 2561 เสนอแนะให้ร่วมกันผลักดันให้เกิดผล เช่น การส่งเสริมนวัตกรรมและความเชื่อมโยงด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การปรับปรุงการอำนวยความสะดวกทางการค้า เป็นต้น ซึ่งไทยสนับสนุนการดำเนินการที่สิงคโปร์เสนอ โดยเฉพาะการใช้ระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน และระบบการเชื่อมโยงอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน เพื่อให้ระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงได้ทั้ง 10 ประเทศและดำเนินการได้เต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมของภาคเอกชนและช่วยขยายการค้าในอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีการเชื่อมโยงระบบระหว่างกัน 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยสามารถใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Form D) สำหรับการส่งออกระหว่างกันได้แล้ว
นางนันทวัลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาเซียนให้ความสำคัญแก้ปัญหาการใช้มาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้า (NTB) เนื่องจากหลายประเทศใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการปกป้องตลาดภายในประเทศ ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อย่างมากและสนับสนุนแนวทางในการแก้ปัญหา NTM/NTB ได้แก่ การจำแนกมาตรการที่เข้าข่ายเป็น NTB การดำเนินการตามพันธกรณีความตกลงด้านการค้าสินค้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ NTMs อย่างเต็มที่ การมีกลไกการแจ้งมาตรการ NTM/NTB ที่เกิดขึ้นใหม่โดยประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นที่ไม่ใช่ประเทศผู้ออกมาตรการแจ้งแทนได้ รวมทั้งการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการจำแนกมาตรการที่เป็น NTB
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ความเห็นต่อร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice) หรือ GRP ของอาเซียน เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการออกหรือแก้ไขกฎระเบียบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและไม่เป็นภาระต่อภาคธุรกิจเกินความจำเป็น ซึ่งร่างหลักการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทยที่ให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติในการจัดทำและเสนอร่างกฎหมาย รวมทั้งเน้นย้ำการทำ GRP ของอาเซียนไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง.-สำนักข่าวไทย