เชียงราย 11 ม.ค.-ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 อนุมัติหมายจับพลทหารสังกัดค่ายขุนเจืองธรรมมิกราช จ.พะเยา ปฎิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจคืนเกิดเหตุเสี่ยรับเหมาถูกยิงเสียชีวิต
ความคืบหน้าคดีนายศรชัย สถิตย์รักษ์ดำรง เสี่ยรับเหมาที่ถูกยิงเสียชีวิต ขณะขับรถยนต์ลงจากบ้านพักในหมู่บ้านห้วยน้ำขุ่น ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มาตามถนนสายบ้านห้วยน้ำขุ่น – บ้านแม่ต๋ำ ขณะผ่านด่านบริการช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งอยู่หลังวัดแม่ต๋ำ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เมื่อคืนวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา
ล่าสุด พ.ต.อ.วีระยุทธ ประสบโชคชัย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.วิชาญ ชูฤทธิ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย พ.ต.ต.กฤตนัน เวียงคำ พนักงานสอบสวน พร้อมนายตำรวจชุดคลี่คลายในคดีดังกล่าว เดินทางไปรับผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากศูนย์พิสูจน์หลักฐานภาค 5 จ.ลำปาง เป็นปืนจำนวน 6 กระบอก ที่ได้จากผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุและปฏิบัติงานที่ด่านแยก เป็น ปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก และ ขนาด 9 มม.จำนวน 5 กระบอก รวมทั้งหลักฐานอื่นๆ กลับมายัง สภ.แม่สรวย เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนได้สอบพยานเพิ่มอีก 7 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุ 6 คน และญาติของนายวุฒิชัย อินใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ที่ยิงอาวุธปืนขึ้นฟ้าและศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับ ก่อนได้รับการประกันตัวไปเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาอีก 1 คน เพื่อประกอบหลักฐานในการเสนอศาลจังหวัดเชียงรายอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นพลทหารทหารสังกัดค่ายขุนเจืองธรรมมิกราช จังหวัดพะเยา ซึ่งปฎิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจคืนเกิดเหตุ โดยจนถึงขณะนี้ผู้บังคับบัญชาของพลทหารคนดังกล่าว ยังไม่ได้นำตัวพลทหารมามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรแม่สรวยแต่อย่างใด คาดว่าจะมามอบตัวภายใน 3 วัน แต่อาจมาในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงราย กล่าวว่า คดีก็คงจะสรุปได้ภายใน 3 วัน และตอนนี้กำลังเสนอศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 คน
ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้อนุมัติหมายจับที่ จก.1/2561 ลงวันที่ 11 ม.ค. ให้จับกุมพลทหารวันชัย จำปา สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พยายามฆ่าผู้อื่น และยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามที่พนักงานสอบสวน สภ.แม่สรวยยื่นคำร้อง โดยในวันที่ 12 มกราคม ผู้บังคับบัญชาฯจะนำตัวมาส่งมอบให้ตำรวจดำเนินคดีต่อไป.-สำนักข่าวไทย