กรุงเทพฯ 6 ธ.ค. – สรท.เชื่อการส่งออกปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5-9 ขณะที่ปีหน้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้อีกร้อยละ 5 หลายปัจจัยยังไปได้ดี แต่กังวลเงินบาทแข็งค่าสวนทางเพื่อนบ้าน
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สภาผู้ส่งออก กล่าวถึงการส่งออกเดือนตุลาคม 2560 ว่า มีมูลค่า 20,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่วนในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 659,517 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 ส่งผลให้การส่งออก 10 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 195,518 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 9.7 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวดีขึ้นของการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป (อียู) โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียใต้ ออสเตรเลีย ลาตินอเมริกา กลับมาเติบโตในช่วงต้นไตรมาส 4 ประกอบกับการฟื้นตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เหล็ก ยางพาราและผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกไทย ทั้งมาตรการปฏิรูปภาษีและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ อาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสไหลกลับสู่ตลาดสหรัฐและส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทในอนาคตได้ ตลอดจนผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน การขาดแคลนแรงงานเฉพาะทางที่มีคุณภาพในประเทศ และความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ที่อาจกระทบต่อการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน
ส่วนผลกระทบต่อการส่งออกไทย เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร 2560 ในส่วนของกฎหมายลำดับรองยังไม่มีความชัดเจนและอาจเป็นภาระต้นทุนผู้ประกอบการ ความไม่ชัดเจนต่อการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต ตลอดจนทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความร่วมมือระหว่างชาติสมาชิกในอาเซียน
ทั้งนี้ สรท.คาดการณ์การส่งออกปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5 – 9 ส่วนปีหน้าขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้อีกร้อยละ 5 ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกทำให้การค้ายังเติบโต แต่สิ่งที่ สรท.กังวล คือ ปัญหาจากความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนไทยที่แข็งค่าสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเงินบาทไทยจาก 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 32.67 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาด้านการแข็งขันการส่งออกของไทย ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลโดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเข้ามาดูแลลดความผันผวนค่าเงินไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป และปัจจัยเรื่องค่าน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่อาจจะไม่มาก และรัฐบาลควรเร่งส่งเสริมภาพธุรกิจเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็งมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย