กรุงเทพฯ 28 พ.ย. – ยืนยัน พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจไม่ได้มุ่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ชี้หากไม่ผ่านสนช.ไทยเสียโอกาสเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาบริการประชาชน พัฒนาประเทศ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่าวในการสัมมนาการพัฒนา การกำกับดูแล และบริหารรัฐวิสาหกิจ คำตอบของการดูแลสมบัติชาติ ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ว่า พระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .. ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่เป็นการช่วยให้รัฐวิสาหกิจทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น ให้บรรลุภารกิจที่ประชาชนคาดหวัง โดยจะนำหลักบรรษัทภิบาลที่ดีตามมาตรฐานสากลมาปรับใช้กับรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และ จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติขึ้นเพื่อทำหน้าที่องค์กรเจ้าของแทนประชาชน เพื่อเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพสำหรับรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัท ซึ่งความพยายามในการปฏิรูปครั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของรัฐวิสาหกิจทำงานได้อย่างปกติ
นายประสาร กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งหากกฎหมายไม่ผ่าน จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสพอสมควร เนื่องจากรัฐวิสาหกิจ มีขนาดใหญ่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ถ้ารัฐวิสาหกิจยังขาดทุน ก็จะกินงบประมาณของรัฐบาลต่อไป และรัฐวิสาหกิจหลายแห่งเป็นงานบริการเพื่อประชาชน หากทำโครงการเร็วขึ้น เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ก็จะช่วยให้การบริการของประชาชนดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น มีส่วนในการพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นด้วย
นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะ 12 ปีที่ผ่านมา ขนาดทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจขยายตัวสูงมาก จาก 4.7ล้านล้านบาท เป็น 15 ล้านล้านบาท ขนาดทรัพย์สินจากร้อยละ 60 เป็น ร้อยละ 110 ของจีดีพี ซึ่งรัฐวิสาหกิจมีรายได้ 4 ล้านล้านบาท ในปี 2559 แต่รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีการผูกขาดทางธุรกิจ ขณะที่รัฐวิสาหกิจที่ต้องแข่งขันกลับมีปัญหาขาดทุน ดังนั้นการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจึงจำเป็นเพื่อให้การใช้ทรัพย์สินของประเทศมีประสิทธิภาพ ให้สามารถแข่งขันได้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะเดินหน้าได้ลำบาก
นายบรรยง ยังได้ตอบคำถามข้อวิตกกังวลของสังคมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ ฯ ว่า การรวมศูนย์รัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นไม่ใช่การกินรวบ ไม่ใช่การส่งเสริมการแปรรูป หรือลดสวัสดิการของประชาชน หรือเป็นการเปิดให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่เป็นการสร้างระบบการคานอำนาจมากขึ้น แก้ไขข้อบกพร่องของการแปรรูปในอดีต ถ้าในที่สุดมีการแปรรูปจะทำได้ดีขึ้น จะทำให้มีการแข่งขัน ไม่ให้มีการผูกขาด โดย มีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสหกิจเป็นผู้ดูแล ทำให้การทำงานของรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่ง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่อยากให้สังคมไทยมีอคติกับการแปรรูป ที่ผ่านมามีถึง 120 ประเทศที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและมีผลงานดีขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาแล้วหลายแห่ง เช่น บริษัท ปตท. จำกัด( มหาชน ) ธนาคารกรุงไทย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน) มีขนาดทรัพย์สินมากขึ้น และมีประสิทธิภาพดีขึ้น” นายบรรยง กล่าว
ด้านนายรพี สุจริตกุล กรรมการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณารายละเอียด โดยยืนยันไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่กลับมีความเข้มงวดมากขึ้นในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจากกฏหมายเดิม และให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ทำหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้มีความชัดเจนมากขึ้น และมีการเปิดเผยการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีมากขึ้นสามารถตรวจสอบได้ มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศให้มีความชัดเจน นอกจากนี้ยังเปิดให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบรัฐวิสาหกิจ หากพบทำผิดก็สามารถฟ้องร้องได้.-สำนักข่าวไทย
