ฟังชัดๆ นายกฯแก้ปัญหายางฯอย่างยั่งยืน


กรุงเทพฯ 18
พ.ย.- นายกฯวอนอย่านำเรื่องราคายางฯเป็นเรื่องการเมือง แจงต้องเข้าใจภาพรวมเหตุผล
รัฐเน้นแก้ปัญหายั่งยืน ทั้งส่งเสริมทำอาชีพเสริม
เกษตรผสมผสาน หนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เดินหน้าธุรกิจแปรรูปยาง ส่งเสริมแปรรูปมากขึ้น คุมลดพื้นที่ปลูกยางให้เหมาะสม 


 

 ทีมข่าวประชาสัมพันธ์ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)
ส่งเอกสารข่าว แจ้งว่า
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ถึงปัญหา
ราคายางพาราตกต่ำ จำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวม
เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาในแนวทางที่จะร่วมมือกันได้

เรื่องที่ 1. ประเด็นราคายางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ มีความเกี่ยวโยงกันมากมายกับสถานการณ์หลายอย่าง
ที่สำคัญราคาน้ำมันในตลาดโลก จะสะท้อนต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์
ที่สามารถใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้ เช่น ช่วงปี
 2540 ถึง 2548 น้ำมันราคาแพง
ทำให้ราคายางสังเคราะห์แพงตาม ส่งผลให้หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
หันไปส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้ายางสังเคราะห์
แต่เมื่อราคาน้ำมันลด ราคายางสังเคราะห์ลดตาม
แต่ปริมาณการผลิตยางธรรมชาติกลับเพิ่มปริมาณ และเกินความต้องการของตลาด
เพราะกลับไปใช้ยางสังเคราะห์ที่ราคาต่ำกว่า จึงส่งผลต่อราคายางธรรมชาติ
ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ


เรื่องที่ 2. ประเด็นปริมาณการผลิตยางพารา สืบเนื่องจากข้อแรก ช่วงปี 2554 ถึง 2558 ทิศทางของโลกลดการผลิตลง แต่ไทยผลิตเพิ่มขึ้น
เป็นผลมาจากการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในอดีต
ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเดิมที่ทำให้ผลผลิตในช่วงปัจจุบันนี้มีจำนวนมากพอสมควร
ทำให้เกิดความไม่สมดุลกัน ที่สำคัญเกษตรกรชาวสวนยางไทย จะปลูกยางเป็น
พืชเชิงเดี่ยวเป็นส่วนมาก ทำให้เมื่อราคายางผันผวน
จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนอย่างรุนแรง
เหมือนเช่นในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

ในส่วนของประเทศอื่นนั้น เกษตรกรจะปลูกพืชทางเลือกเสริมควบคู่กับการปลูกยาง เช่น มาเลเซียในระยะ 20 ถึง 30 ปีที่ผ่านมา ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นมากขึ้น
เช่น ปาล์มน้ำมัน
  ส่วนอินโดนีเซีย
เป็นการทำเกษตรแบบยังชีพ ควบคู่ไปกับการทำประมง
หรือทำอาชีพอื่นเสริมร่วมกับผลผลิตจากยางพารา
เมื่อราคายางลดลงผู้ปลูกยางในประเทศเหล่านี้
ก็จะชะลอการกรีดยางแล้วหันไปประกอบอาชีพอื่นเพื่อเป็นการหารายได้เข้ามาแทนไม่ใช่การกรีดยางเป็นอาชีพหลักเช่นเกษตรกรในประเทศไทย

เรื่องที่ 3. ประเด็นการใช้ยางพาราในประเทศน้อยลง เมื่อเทียบผลผลิตยางพาราของประเทศไทย เฉลี่ย 4.47 ล้านตัน มีการใช้ยางพาราในประเทศเพียง 0.60 ล้านตัน ที่เหลือเป็นการส่งออก ซึ่งทำให้ราคายางพาราต้องขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก
ซึ่งแปรผันตามปริมาณความต้องการของประเทศผู้ใช้ยาง และผูกโยงกับราคาน้ำมัน
เพิ่มความซับซ้อน จนไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย
และมาเลเซีย ถือเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก มีพื้นที่กรีดยางพารารวมกัน
 50.23 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 62.09 ของเนื้อที่กรีดยางพาราทั้งโลก
มีผลผลิตรวม
 8.56 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 63.27ของผลผลิตโลกก็ตาม  แต่อินโดนีเซีย
ที่แม้จะมีการใช้ยางพาราในประเทศน้อยมากอย่างที่กล่าวไป
การปลูกยางไม่ใช่รายได้หลัก
  ส่วนมาเลเซีย
ได้สร้างสมดุลการใช้ยางพาราในประเทศ ให้ใกล้เคียงกับผลผลิตรวม
ทั้งสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมัน และการปลูกพืชเชิงซ้อนอื่นๆ อีกด้วย
เรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญ ต้องช่วยกันทำต่อไป

เรื่องที่ 4. ประเด็นความไม่เหมาะสมของพื้นที่ปลูกยางพารา ในปี 2559 ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางราว 20 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยอัตราผลผลิต ประมาณ 225 ถึง 245 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่พื้นที่กรีดยาง ภาคเหนือให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด คือ 143 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานให้ผลผลิตเพียง 185 กิโลกรัมต่อไร่ เนื่องจากอากาศ ปริมาณน้ำ และสภาพดิน
ไม่เหมาะกับการปลูกยางพารา ที่ต้องการอากาศร้อนชื้น และฝนตกชุก เหมือนภาคใต้
ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งปัญหาค่าขนส่งผลิตภัณฑ์ยางมาสู่ตลาดกลาง
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้
ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนของเกษตรกรชาวสวนยางที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

แนวทางการแก้ไขปัญหาของยางพาราเพื่อความยั่งยืน

                ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริม ตามแบบเกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรผสมผสาน การปลูกพืชแซม เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร
ที่เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นของตนเอง การทำ ปศุสัตว์ และประมง
ควบคู่ไปกับการทำสวนยาง เพื่อให้มีรายได้ที่หลากหลาย เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและกระจายความเสี่ยง
ลดการพึ่งพารายได้จากการทำสวนยางแต่เพียงอย่างเดียว เช่น
รัฐบาลนี้มีการสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย สำหรับประกอบอาชีพเสริม
เป็นต้น ที่ผ่านมามีชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริมประมาณ
 380,000 ราย และในปี 2560 มีชาวสวนยางหันมาทำเกษตรแบบผสมผสานมากขึ้นกว่า 3,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดที่โค่นยางในปีนี้

               แต่ทั้งนี้ควรส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสานให้มากขึ้น
แล้วรัฐบาลก็จะส่งเสริมเรื่องการตลาดควบคู่ไปด้วยเช่นกัน สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ
 รัฐจะชดเชยอัตราดอกเบี้ย
ร้อยละ
 3 ต่อปี ให้แก่สถาบันเกษตรกร
และผู้ประกอบการ ในการดำเนินธุรกิจแปรรูปยาง ทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน
การปรับปรุงอาคาร การจัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์สมัยใหม่
เพื่อจะพัฒนาศักยภาพในการส่งออกและแปรรูปยางในอนาคต ส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศให้มากขึ้น
 รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นด้วย
เช่น การสร้างถนน ลานกีฬา ถุงมือยาง และอื่นๆ เป็นต้น

 

                     
นอกจากนี้ต้องควบคุมและลดพื้นที่การปลูกยางพาราให้เหมาะสม
 โดยมีเป้าหมายลดพื้นที่ปลูกยางลงปีละ 4 แสนไร่ และปลูกพืชอื่นทดแทน
เพื่อจำกัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปัจจุบันลดพื้นที่ปลูกได้
 1.19 ล้านไร่ ลดผลผลิตได้ 0.27 ล้านตัน
ซึ่งพบว่ายังน้อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เกษตรกรทำสวนยางเป็นอาชีพหลัก
ควรส่งเสริมอาชีพอื่นให้ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตยางในตลาดโลก
ใกล้เคียงกับความต้องการ ทำให้ราคาไม่ตกต่ำมากนัก ทั้งนี้
จะเน้นการลดพื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งมีปัญหาทั้งปริมาณน้ำ
ระบบชลประทาน และการขนส่ง ที่ล้วนแต่มีต้นทุนสูง
รวมไปถึงพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ที่มีกว่า
 2 ล้านไร่ในปัจจุบัน
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทางรัฐบาลกำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่เช่นกัน

            จัดตั้ง
การยางแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่
 15 กรกฎาคม 2558 ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.. 2558 ได้มีการยุบรวม 3 หน่วยงาน ก็คือ
สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
และองค์การสวนยาง เข้าด้วยกัน
มีภารกิจในการจัดทำยุทธศาสตร์สำหรับการบริหารจัดการยางของประเทศแบบครบวงจรให้มีประสิทธิภาพ
ขณะนี้เราก็เพิ่งเริ่มปฏิบัติงานมา อาจจะมีหลายอย่าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง
เพราะว่าวันนี้ เราต้องเอาภาคเอกชนมาร่วมด้วย แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส
ซึ่งเรื่องที่ร้องเรียนกันนั้น รัฐบาลได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของ กยท
ตามที่มีการร้องเรียนแล้ว

              ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก ได้แก่
อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ผ่านสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ
มีมาตรการควบคุมอุปทานยาง
ให้อนาคตมีปริมาณการผลิตยางพาราของแต่ละประเทศในปริมาณที่เหมาะสม
ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปัญหาเกิดจากประเทศไทย และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก
จึงมีมาตรการในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราของประเทศสมาชิก
ซึ่งต้องหารือร่วมกัน บางครั้งอาจไม่เห็นชอบในทางเดียวกัน
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละประเทศ

           “ อยากให้ทุกฝ่ายในห่วงโซ่ยางพาราไทย
ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้ทุกคนได้อดทน เปลี่ยนแปลง ไว้ใจซึ่งกันและกัน
มีหลักการและเหตุผล
 
ไม่ว่าจะประท้วง หรือยื่นหนังสือต่างๆ
ก็ตามขอให้ทำอย่างสงบ ไม่จำเป็นต้องมายื่นที่กรุงเทพฯ
สามารถยื่นที่พื้นที่ของท่านเองได้ เพราะจะส่งต่อมาให้รัฐบาลรับทราบอย่างแน่นอน
ไม่อยากให้เสียเวลา และสิ้นเปลือง ที่สำคัญ
ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจสำคัญที่สุด
ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าทุกคนทำสวนยางอย่างเดียว เมื่อยางราคาไม่ดี
คุณภาพชีวิตก็ไม่ดีตาม เพราะมีรายได้จากยางเพียงอย่างเดียว ต้องคิดใหม่
จะได้แก้ปัญหาได้ร่วมกัน ตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
รัฐบาลก็ไม่มีข้อขัดแย้ง มีรายได้มากขึ้น ประชาชน เกษตรกรชาวสวนยาง
หรือเกษตรกรอื่นๆ ก็ต้องทำเช่นเดียวกัน
พลเอกประยุทธ์
กล่าว-สำนักข่าวไทย

 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.เรือนจำทักษิณป่วย ไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน  

13 มิ.ย. – ศาลฎีกาฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ” เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด เดือน ก.ค.68 ด้าน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยอมรับไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนคดีชั้น 14 ในเรื่องการบังคับคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลได้สอบถาม นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน เกี่ยวกับกระบวนการในการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ พยาบาลเวรตรวจอาการแล้ว ถึงโทรไปหาแพทย์ และมีความเห็นให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และอาการก็ตรงกลับใบส่งตัวที่แพทย์เขียนไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน จากนั้นศาลได้นัดไต่สวน 6 นัด ในเดือนกรกฎาคม 2568 และใน […]

เครื่องบินแอร์อินเดีย ตกใส่อาคารที่พักแพทย์ ตาย 241 รอดคนเดียว

นิวเดลี 13 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประสบอุบัติเหตุตกใส่อาคารในย่านชุมชนทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 241 ราย รอดชีวิตปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคนในอาคารบ้านเรือนเสียชีวิตเท่าไร เครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลน์เนอร์ ของสายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบิน เอไอ171 (AI171) พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประกอบด้วยผู้โดยสาร 230 คน และลูกเรือ 12 คน เพิ่งจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียเมื่อเวลา 13.34 น. วานนี้ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานแกตวิค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนบนเครื่องบินเป็นชาวอินเดีย 169 คน และมีพลเมืองอังกฤษ 53 คน โปรตุเกส 7 คน และแคนาดา 1 คน คลิปที่ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ในอินเดียส่งต่อกันแพร่หลาย เผยให้เห็นช่วงเวลาขณะที่เครื่องบินโดยสารลำนี้เครื่องบินค่อยๆ […]

แพทยสภายืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย

กทม. 12 มิ.ย.- แพทยสภามีมติ 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย ปมส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 รพ.ตร. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยหลังการประชุมการลงมติแพทยสภากว่า 5 ชม. ว่า กรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน คือวันนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ วาระนี้มีคณะกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯ ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งคณะ ซึ่งมีคะแนนโหวตมากกว่า 60 เสียง ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ คาดว่าคำสั่งจะออกได้ในวันพรุ่งนี้ และจะมีผลการลงโทษหลังจากคำสั่งไปยังผู้ถูกร้องเรียน ทั้งนี้ […]

“ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน

ฉะเชิงเทรา 12 มิ.ย. – “ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน จ.ฉะเชิงเทรา พบกองขยะอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์นำเข้ากองเต็มพื้นที่ ฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการขยายผลจากข้อมูลที่ผู้ใหญ่บ้าน ต.เขาหินซ้อน อ้างว่ามีบริษัทคัดแยกขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้นำดินไปแจกฟรี แต่กลับพบว่าเป็นขยะอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทแห่งนี้จะรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ วัสดุแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง โดยบริษัทดังกล่าวรับซื้อเศษขยะมาจากญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งมาที่โรงงานรีไซเคิลในไทยให้คัดแยก แต่สำแดงเป็นโลหะผสม (Mixed metal) และมีการเสียภาษีต่อเที่ยวตามน้ำหนัก รวมแล้วประมาณ 33,000 บาท การคัดแยกขยะจะใช้แรงงานต่างด้าวคัดแยกเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดงออก โดยในส่วนของเหล็ก จะส่งโรงเหล็กในประเทศ สำหรับอะลูมิเนียมกับทองแดง จะส่งกลับไปฮ่องกง เพื่อขายต่อ โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นเศษโลหะ อีกทั้งยังมีกองขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใช้งานต่อได้จำนวนมากถูกทิ้งไว้ในประเทศ โรงงานดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2558 แต่ก่อนหน้านี้พบว่ามีการขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดเก็บวัสดุไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน คือกองอยู่ลานโล่งด้านนอกอาคาร ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบกิจการ และการปล่อยน้ำเสีย […]

ข่าวแนะนำ

ลุ้นผลประชุม JBC ไทย-กัมพูชา

14 มิ.ย.- ประชาชน 2 ประเทศลุ้นผลการประชุม JBC ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว นายเปง สุเพีย ผู้สื่อข่าวกัมพูชา รายงานว่าก่อนการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ขณะนี้เป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ผ่านไปกว่า 2 ชม. ยังไม่ออกมา ประชาชนสองประเทศลุ้นผลการประชุม ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว .-สำนักข่าวไทย

Cambodia and Thailand hold a closed-door meeting ahead of the official meeting of JBC in Phnom Penh

ไทย-กัมพูชา หารือกลุ่มเล็กก่อนประชุม JBC

พนมเปญ 14 มิ.ย. – สื่อกัมพูชารายงานว่า กัมพูชาและไทย ได้เปิดการหารือกลุ่มเล็กฝ่ายละ 5 คน ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (JBC) ที่กรุงพนมเปญ ในวันนี้ เว็บไซต์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานว่า ในการหารือกลุ่มเล็กที่มีผู้ร่วมเข้าเพียง 10 คน ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายเจีย ฬำ  รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ส่วนฝ่ายไทยนำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศด้านกิจการชายแดน ซึ่งเป็นนักการทูตผู้เชี่ยวชาญช่วงข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร พร้อมกับเผยแพร่ภาพชุดการหารือดังกล่าว.-814.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! โจรชิงทองที่ลำพูน หนีกบดานพัทยา

พัทยา 14 มิ.ย.- หนีไม่รอด! รวบโจรบุกเดี่ยวชิงทอง จ.ลำพูน หนีกบดานพัทยา สารภาพติดการพนันออนไลน์ จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายรูปร่างสูงประมาณ 160-165 ซม. ทราบชื่อต่อมาคือ นายประกร อายุ 47 ปี ขี่รถจักรยานยนต์สีดำ บุกเดี่ยวเข้าไปชิงทองคำรูปพรรณ จากห้างทองฯ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 5 บาท ไปจำนวน 2 เส้น มูลค่ากว่า 500,000 บาท แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดตำรวจ สภ.จว.ชลบุรี ได้เบาะแสว่า นายประกร ที่มีหมายจับศาลจังหวัดลำพูน ในข้อหากระทำความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” หลังก่อเหตุได้หนีมากบดานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงนำกำลังออกติดตาม กระทั่งพบตัวนายประกร อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านพัทยากลาง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุม เจ้าตัวให้การยอมรับ เป็นผู้ก่อเหตุวิ่งราวทองจากห้างทองในพื้นที่จังหวัดลำพูนจริง หลังก่อเหตุได้หนีมายังพื้นที่เมืองพัทยาและนำทองไปขายในห้างทองแห่งหนึ่ง ตอนแรก คิดว่าจะเดินทางเข้ามาตัว แต่ก็สายไปเนื่องจากมาโดนเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุลงไปนั้นเนื่องจากตนเองติดการพนันออนไลน์ จนเงินหมด […]

“ทวีวัฒน์” เจ้าของเงิน 12 ล้าน ลาออกจากกรรมการไต่สวนฯ ป.ป.ช.แล้ว

กรุงเทพฯ 14 มิ.ย. – ป.ป.ช. แจง “ทวีวัฒน์” เจ้าของเงิน 12 ล้านบาท ลาออกจากกรรมการไต่สวนฯ ของ ป.ป.ช. แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 68 วันนี้ (14 มิ.ย.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว แสดงตนเป็นเจ้าของเงิน 12 ล้านบาท ที่ถูกทิ้งที่คอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 3 คณะนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ขอชี้แจงว่า นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ได้ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมการไต่สวน ในคณะกรรมการไต่สวนของสำนักงาน ป.ป.ช.ทุกคณะแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงาน […]