กรุงเทพฯ 18 ก.ย. – ผู้ว่าธปท. ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากคลัง-เอกชน ในการดำเนินนโยบายการเงิน ย้ำ ต้องเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทั้งกระทรวงการคลังและภาคเอกชนในการพิจารณานโยบายการเงิน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือกันกับทุกหน่วยงาน แต่การตัดสินใจนโยบายการเงินเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ซึ่งจะมีการนำเสนอข้อมูลในทุกด้าน ทุกมิติ ให้ กนง. พิจารณาในการประชุมวันที่ 27 กันยายน 2560 นี้ โดยกนง. และธปท. จะต้องทบทวนนโยบายการเงินตลอดเวลา เนื่องจากสถานการณ์การเงินโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และต้องมองไปข้างหน้า โดยยืนยันกนง.จะพิจารณาครบทุกด้านทั้งด้านเสถียรภาพราคา ปริมาณเงินในระบบ ให้เพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการเงินเปรียบเหมือนเหรียญ 2 ด้าน มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ และต้องคำนึงทั้งผู้ฝากเงิน ผู้กู้เงิน และผู้สูงอายุ นโยบายการเงินต้องมีความระมัดมัดระวังไม่ให้กลายเป็นความเสี่ยง หรือสร้างจุดเปราะบางของประเทศ
นายวิรไท กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกดดันต่อการประชุมกนง. ในรอบนี้ เพราะที่ผ่านมา กนง. ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา กนง. ได้ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เนื่องจากมองไปข้างหน้าพบว่าเศรษฐกิจในขณะนั้นมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งในแถลงการณ์ของกนง. ก็ย้ำมาโดยตลอด พร้อมใช้นโยบายการเงินในการดูแลเศรษฐกิจ
“ปกติเวลาคนมองเรื่องเศรษฐกิจจะมองระยะสั้น แต่ธนาคารกลางต้องมองในระยะยาว เพื่อประโยชน์ของคนในสังคม ซึ่งถือเป็นหน่วยงานกลางหน่วยงานเดียวที่ทำหน้าที่นี้” นายวิรไท กล่าว
ส่วนดัชนีราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง และทำสถิติสูงสุด นั้น มาจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนมีความกังวลปัจจัยการเมืองน้อยลง จึงทำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย เงินทุนต่างชาติจึงไหลเข้ามาต่อเนื่อง นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ ทำให้ประชาชนหันมาหาสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่อง ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า เพราะสาเหตุหลักมาจากการที่ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง จากการส่งออกสินค้าและบริการ และพบว่ามีการเก็งกำไรเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ ในตลาดพันธบัตร ซึ่งธปท. ได้กำชับไปยังสถาบันการเงินที่มีความผิดปกติแล้ว และได้ประสานไปยังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. , ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด.- สำนักข่าวไทย