กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุ การแข็งค่าของเงินบาทในระยะหลัง นอกจากได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังมีราคาทองคำที่พุ่งขึ้นกว่า 40% เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ทำให้เกิดแรงขายทองออกไปต่างประเทศและมีการแปลงเงินดอลลาร์กลับมาเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
นางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทในระยะหลังเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ โดยสาเหตุสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
- เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเกือบ 10% จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
- ปัจจัยในประเทศได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่คาดและความเชื่อมั่นทางการเมืองที่ปรับตัวดีขึ้น
- ราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นกว่า 40% ทำให้เกิดแรงขายทองออกต่างประเทศ เมื่อร้านทองแปลงเงินดอลลาร์กลับมาเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาทมีความผันผวนสูงและเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้นอาจกดดันให้เงินบาทแข็งค่า แต่หากราคาทองคำลดลงก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้เช่นกัน ซึ่งทำให้เงินบาทมีความผันผวนมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
ธปท. เตรียมหารือกับผู้ประกอบการร้านทองอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อติดตามความคืบหน้าของมาตรการร่วมกันลดแรงกดดันจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท
ด้านนางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท. กำลังพิจารณามาตรการเสริม เช่น การสนับสนุนให้ซื้อขายทองคำด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐโดยตรง เพื่อลดการแปลงกลับมาเป็นเงินบาท รวมถึงการพิจารณามาตรการด้านภาษี หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น แต่ย้ำว่า ทุกมาตรการต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบและผลข้างเคียงอย่างรอบคอบ. -512 – สำนักข่าวไทย