กรุงเทพฯ 5 ก.ย.-“กฤษฎีกา”ตีความ
เดินหน้าโรงไฟฟ้าขยะชุมชนไม่ต้องรอกฏหมายลูก พ.ร.บ.รักษาความสะอาด รอ
เพียงมท.ฟันธงขั้นตอนดำเนินการและจะเพิ่มปริมาณรับซื้อจากเดิมเสนอ 78
เมกะวัตต์หรือไม่
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล
กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า
กกพ.เตรียมเดินหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in-Tariff
(FIT) 3.66 บาทต่อหน่วย แบบไม่แข่งขันราคา หลังจาก
มีการสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และมีคำตอบว่าสามารถเดินหน้าการประมูลตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศไว้ ไม่ต้องรอกฏหมายลูก ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนของกระทรวงมหาดไทย
ทั้งเรื่องจะรับซื้อเพิ่มหรือไม่ เพราะดูตามศักยภาพแล้ว สามารถรับซื้อได้ 130
เมกะวัตต์ ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย ส่งข้อมูลการรับซื้อก่อนหน้านี้เพียง
78 เมกะวัตต์ และแม้ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะไม่เข้าข่าย พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
พ.ศ. 2556 หรือ กฎหมาย PPP แต่
หลักการทั้งหมดก็อิง กฏหมาย PPP ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็ต้องตัดสินใจเรื่องนี้เช่นกัน
ขณะที่
กกพ.ได้มอบหมายให้คณะทำงานทบทวนรายละเอียดในประกาศและหลักเกณฑ์การจัดไฟฟ้าจากขยะชุมชนใหม่ว่ามีส่วนใดที่ต้องแก้ไขหรือปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไร
เช่น กำหนดการดำเนินโครงการ เพราะโครงการดังกล่าวล่าช้ามาประมาณ 6 เดือน แล้ว
จึงต้องเลื่อนกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ออกไปจากเดิมกำหนดไว้ภายในวันที่
31 ธ.ค. 2562
นายวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม
รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายโรงงาน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP
เปิดเผยว่า บริษัท
จะไม่เข้าร่วมประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแบบ SPP Hybrid
Firm พ.ศ. 2560
ที่มีเป้าหมายรับซื้อไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ ในอัตรารับซื้อ FiT ที่
3.66 บาทต่อหน่วย
หลังตรวจสอบความพร้อมของสายส่งแล้วพบว่าในพื้นที่ภาคกลางไม่อยู่ในพื้นที่สระบุรี รวมถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)
ปรับเงื่อนไขโครงการใหม่ไม่ให้ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงหลัก แต่สามารถใช้เชื้อเพลิงขยะRDF(Refuse
Derived Fuel)เป็นเชื้อเพลิงเสริมได้
ประกอบกับต้องประมูลแข่งขันราคาFITที่ต้องต่ำกว่า 3.66
บาทต่อหน่วยอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน โดยบริษัทจะรอเรื่องขยะชุมชนที่คาดว่าจะได้รับการคัดเลือกเพราะมีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายพื้นที่แล้ว
–สำนักข่าวไทย