พาณิชย์แนะเอสเอ็มอีเล็กและกลางอย่ารอแต่เงินทุน

กรุงเทพฯ 29 ส.ค.-พาณิชย์และสสว.แนะเอสเอ็มอีไทยอย่านั่งรอขอทุนเงินเพียงอย่างเดียว ควรเปิดโอกาสรับสิ่งใหม่ๆสร้างพันธมิตรขยายช่องทางการค้าผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น


นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ”นโยบายรัฐกับการสร้าง SMEs 4.0 ” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญที่จะยกระดับและสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กและขนาดกลางของไทยที่มีอยู่กว่า 2.2 ล้านรายที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43 ของจีดีพีและมีเป้าหมายภายในปี 2564 จีดีพีของกลุ่มนี้จะเติบโตได้ถึงกว่าร้อยละ 50 ของจีดีพีถือเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญที่จะเร่งสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจอยู่รอดได้ โดยไม่คาดหวังแต่เงินทุนเพียงอย่างเดียว เพราะการพึ่งแต่เงินทุนแต่ไม่เปลี่ยนหรือตามไม่ทันกระแสโลกจะอยู่ลำบากมาก

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มีแนวทางสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยคือ โครงการพี่จูงน้องเพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวทางธุรกิจ การหาพันธมิตร การเพิ่มช่องทางการเดิมๆมาเป็นการสร้างการค้าผ่านออนไลน์ ด้วยต้นทุนไม่สูงแต่สามารถขยายช่องทางการค้าได้ดีและตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังคงขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือกลุ่มภาคธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยอย่างมาก และในอีก 2-3 เดือนข้างหน้ากฎหมายการจดทะเบียนนิติบุคคลเพียงคนเดียวจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น จะเป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มเอสเอ็มอีของไทยจะมาจดทะเบียนให้ถูกต้องที่จะสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจของตนเองอีกด้วย


นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ” แบบไหนที่จะเป็น SMEs 4.0 ”  ว่า เอสเอ็มอีขนาดเล็กและกลางของไทยมีอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก และเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้การดูแลอย่างเต็มที แต่การอยู่รอดของกลุ่มนี้จะต้องปรับตัวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงด้วยการปรับเปลี่ยนช่องทางการค้าผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น ดังนั้น สสว.วางเป้าหมายที่จะส่งเสริมเอสเอ็มอีขนาดเล็กและกลางไว้ คือ ให้มีความมั่นคงทางการลงทุนอย่างต่อเนื่องและมั่นคง แต่จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุลคลเต็มรูปแบบเพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือของกิจการในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความน่าเชื่อถือของธุรกิจของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ทาง สสว.มองว่า  ธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กและขนาดกลางของไทยที่จะขยายตลาดมีอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเครื่องสำอาง และธุรกิจอาหารเสริม ซึ่งเป็นกลุ่มได้รับความสนใจของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศและเป็นกลุ่มที่มาแรงและเติบโตได้ดีอยู่ โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สสว กันได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง