กรุงเทพฯ 22 ส.ค.- ผู้เชี่ยวชาญชี้วัคซีนไข้เลือดออก เป็นหนึ่งในมาตรการหลักที่องค์การอนามัยโลก แนะให้ประเทศที่มีการระบาดสูงใช้ เพื่อช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเจ็บป่วย ขณะที่กรมควบคุมโรคยังต้องหาข้อมูลมาพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อหากลุ่มอายุที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนและดูความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจศาสตร์ภาพรวมของประเทศ
รศ.นพ.ประตาป สิงหสิวานนท์ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แม้อัตราผู้เสียชีวิตจาก โรคไข้เลือดออกจะลดลงแต่กลับพบผู้ป่วยผู้ใหม่เพิ่มมากขึ้น ทั้งไม่แสดงอาการและมีอาการ รุนแรง ก่อปัญหาการเชื้อแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้มากกว่า 10 เท่า ทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลโรคไข้เลือดออกสูงมากถึง 290 ล้านบาทมากเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุดต้นปีนี้ ถึง15 สิงหาคม มีผู้ป่วยไข้เลือดออกทั่วประเทศรวม 29,844 ราย มีเสียชีวิตอายุ 15 ปีขึ้นไป 24 รายอายุต่ำกว่า 15 ปีเสียชีวิต 17 ราย
ด้าน นพ.ภานุมาศ ญาณเวทย์สกุล รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยการใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมาเป็นเครื่องมือป้องกันและควบคุมโรคนั้น ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกด้าน เช่น ข้อมูลความชุกต่อการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ในประชากรไทยกลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่ มาประกอบการพิจารณาเพื่อหากลุ่มอายุที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนและความคุ้มค่าทาง เศรษฐศาสตร์ ในภาพรวม
ส่วนรศ.นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 18 ประเทศที่ลงทะเบียนใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนี้ โดยวัคซีนตัวนี้ สามารถช่วยป้องกันไข้เลือดออกจากเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ป้องกันได้ผลร้อยละ 65 ใช้ฉีด กระตุ้น 3 ครั้ง เว้นระยะ 6เดือนและ 12 เดือน วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตัวนี้เป็นวัคซีนเชื้อตัวเป็นอ่อนฤทธิ์ หรือเกิดจากการผสมกันระหว่าง วัคซีนเชื้อไข้เหลืองพ่วงกับชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสเดงกี่ทั้ง4สายพันธุ์
ทั้งนี้ ที่น่าสนใจคือมีผลการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้วเมื่อได้รับวัคซีนจะสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้มากถึงร้อยละ 89 ต่างจากผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อซึ่งพบว่าสามารถป้องกันได้ร้อยละ 52.5 ส่วนความปลอดภัย มีผล ศึกษา ในกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 30,000 ราย ระยะ 6 ปี ไม่พบภาวะแพ้รุนแรง อย่างไรก็ตามแม้ไทยจะมีบริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้ว แต่นักวิจัยต้องทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนา วัคซีนไข้เลือดออก ให้ก้าวหน้ามากขึ้น.-สำนักข่าวไทย