สศช.พอใจเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

จุฬาฯ 8 ส.ค. – สศช.พอใจเศรษฐกิจไทย 3 ปี โตต่อเนื่องตามโรดแมพของรัฐบาล ประเมินปีนี้ส่งออก ลงทุนภาครัฐ ท่องเที่ยว หนุนโตร้อยละ 3.5 


นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมกาารพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในการเสวนา “ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง 2560” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า เศรษฐกิจไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้อัตราการเติบโตค่อนข้างต่ำ แต่หากพิจารณาทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจถือว่าดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2557 และเป็นไปตามตามโรดแมพรัฐบาล ซึ่งการเติบโตระดับนี้ น่าพอใจ เพราะเติบโตจากที่เคยโตเพียงร้อยละ 0.9 ในปี 2557 แม้ในช่วง 2 ปีแรกภายใต้การบริหารรัฐบาลปัจจุบันจะประสบปัญหาภัยแล้ง แต่มีด้านท่องเที่ยวและการลงทุนของภาครัฐเข้ามาช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้นได้จนปีนี้เศรษฐกิจต้นปีเติบโตร้อยละ 3.3 และเริ่มมีแสงสว่างทิศทางเศรษฐกิจดีขึ้น 

ขณะที่ปัญหาภัยแล้งผ่านไปแล้ว การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น การบริโภคและท่องเที่ยวดีขึ้น มีเพียงการลงทุนภาคเอกชนเท่านั้นที่ยังคงไม่ดีขึ้น ด้านการส่งออกจากที่เคยติดลบก็เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น โดยด้านการส่งออกโตร้อยละ 0 ปีที่ผ่านมา แต่ดีขึ้นสามารถเติบโตต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้ ดังนั้น ปีนี้ สศช.จึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโตร้อยละ 3.5 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นมามากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่การเติบโตระดับนี้ สศช.ยังเห็นว่าต่ำเมื่อเทียบกับเป้าหมายระยะยาวที่รัฐบาลมีนโยบายให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงที่เศรษฐกิจแต่ละปีจะต้องเติบโตระดับร้อยละ 5 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ยังคงอยู่ระดับสูง ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่รัฐบาลจะมุ่งแก้ไขต่อไป


นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกรียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ดีกว่าช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมามากที่โตประมาณร้อยละ 1.5 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากที่คาดว่าโตร้อยละ 3.4 เพิ่มเป็นโตร้อยละ 3.5 ส่วนกลุ่มประเทศอาเซียนเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 4.8 หากเทียบกับการเติบโตเศรษฐกิจของไทยแล้ว ภาวะเศรษฐกิจไทยจัดได้ว่า เติบโตต่ำในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รายได้ต่อคนต่อปีของไทยปัจจุบันก็อยู่ในระดับ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีเท่านั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เกิดจากวัฎจักรของเศรษฐกิจแต่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ 

นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเบทาโกร กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะไปรอดหากพิจารณาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจภาคเกษตรจะไปรอดค่อนข้างแน่ แต่ภาคเกษตรไทยจะไปรอดหรือไม่ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ และขณะนี้ยังไม่ค่อยแน่ใจนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ไม่แน่ใจว่า ต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นจะคุ้มค่าหรือไม่ที่ต้องแลกไป จึงรู้สึกห่วงจุดนี้ว่าแพงเกินไปหรือไม่ต้องจ่ายแลกกับสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยกับการรื้อระบบโครงสร้างเศรษฐกิจไทย จึงจะต้องหาทางปรับปรุงให้ทุกอย่างดีที่สุดก่อนรื้อระบบที่เป็นอยู่

นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะช่วยชาติได้อย่างไร”  ว่า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และเครื่องมือใหม่ ๆ จะมีส่วนช่วยยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวข้ามการติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางของประเทศไทยได้ ปัจจุบันคนไทยมีรายได้ต่อคนต่อปีประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้ รวมถึงการส่งเสริมการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงใช้ในกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาโครงการวิจัยต่าง ๆ ที่มีกว่า 10,000 โครงการ ส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม  ขณะที่ภาคธุรกิจเองในช่วงก่อนหน้านี้ก็เลือกซื้อเครื่องจักร เพื่อนำมาผลิตสินค้า ไม่สนใจนำงานวิจ้ยมาใช้ แต่ผลจากการที่รัฐบาลส่งเสริมโดยให้สิทธิประโยชน์นำรายจ่ายงบวิจัยและพัฒนาไปลดภาษีได้ก็ช่วยให้ภาคเอกชนให้ความสนใจมีการลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ ภาคเอกชนเป็นผู้นำการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาแล้ว ด้วยสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70 ขณะที่ภาครัฐมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น 


ด้านกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต้องการส่งเสริมการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในลักษณะคอนซอร์เตียม ที่ภาคเอกชนร่วมกันด้านงานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งกลุ่ม THECH STARTUP เป็นกลุ่มที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม โดยควรมีเวทีเปิดให้เอกชนเข้ามาเลือกร่วมลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจแนวทางนี้ ส่วนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่มีจำนวนรวม 2.7 ล้านราย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและภาคการค้า รวมถึงโอทอป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน จำเป็นต้องแสวงหาแนวทางที่จะนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่กลุ่มดังกล่าวนี้ด้วย ซึ่ง SCIENCE PARK ต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ช่วยขับเคลื่อนงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมได้สู่ภาคเอกชนได้

นางอรรชกา กล่าวว่า ล่าสุดนายกรัฐมนตรีสั่งให้มีการจัดตั้งสำนักเลขาสำนักงานวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดยหวังว่าหน่วยงานนี้จะช่วยจัดสรรงบประมาณปี 2562 เพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาที่สามารถตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ต่อไป. -สำนักข่าวทไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]