กรุงมะนิลา 8 ส.ค.-ไทยรับไม้เป็นประธานรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือน้ำโขง-คงคาต่อจากพม่า ย้ำขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ความสำคัญความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง – คงคา ครั้งที่ 8 โดยมีนาย นาย U Kyaw Tin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และนาย Vijay Kumar Singh รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ร่วมเป็นประธาน โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงและผู้แทนเข้าร่วมการประชุม
รัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง – คงคา (Mekong-Ganga Cooperation – MGC) ทบทวนความร่วมมือและทิศทางในอนาคต ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมการประชุม และขอบคุณอินเดียสำหรับการมีบทบาทในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและยินดีต่อหัวข้อการประชุม “สร้างความเชื่อมโยงที่ดียิ่งขึ้นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ที่ประชุมชื่นชมการจัดการประชุม Policy Dialogue ณ กรุงนิวเดลี ซึ่งส่งเสริมความเชื่อมโยงและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการนี้ อินเดียได้แสดงความตั้งใจที่จะจัดการประชุมผู้นำด้านความเชื่อมโยงครั้งแรกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 และแสดงความมุ่งมั่นที่จะใช้กรอบความร่วมมือ MGC เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) ต่อไปในอนาคต
ในโอกาสนี้ ไทยได้รับตำแหน่งประธาน MGC ต่อจากเมียนมา ซึ่งไทยได้ย้ำประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.บทบาทของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ 2. เชิญประเทศสมาชิกเข้าร่วมการประชุมคณะทำงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุมในเดือนสิงหาคม 2560 และ 3. ไทยสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกเจรจาและดำเนินการในโครงการของกรอบความร่วมมือ MGC ที่ยังคั่งค้างอยู่ให้แล้วเสร็จทั้งเรื่องความเชื่อมโยงทางบกและทางทะเล ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุศักยภาพด้านการค้าของทั้งสองภูมิภาค
ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง – คงคา ริเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับอินเดีย กรอบ MGC มีสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม เมียนมา และอินเดีย และมี 7 สาขาความร่วมมือ ได้แก่ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา การคมนาคมขนส่ง สาธารณสุข การเกษตร และการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม.-สำนักข่าวไทย