สธ.2 ส.ค.-กรม สบส.ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะและกองกฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจสอบ รพ.เอกชนย่านมหาชัย หลังมีการเผยแพร่ข่าวเรียกเก็บเงินค่าผ่าตัด 1 แสนบาท เมื่อไม่มีจ่ายก็ไม่ได้รับการผ่าตัด จนต้องตัดขาขวาทิ้ง
จากกรณีมีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อโซเชียล ถึงชายหนุ่ม อายุ 25 ปี ขับขี่รถจักรยานยนต์และเกิดอุบัติเหตุรถล้มบาดเจ็บที่ขาขวา ก่อนถูกนำตัวส่งรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ย่านมหาชัย แต่แพทย์ได้เรียกเก็บค่ารักษา พยาบาล จำนวน 100,000 บาท ก่อนจึงจะผ่าตัดให้ ซึ่งญาติผู้ป่วยแจ้งว่าจะนำเงินมาให้ในวันถัดไป จึงไม่ได้รับการผ่าตัดและส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมแทน โดยแพทย์ประจำโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมแจ้งว่าต้องตัดขาขวาตั้งแต่หัวเข่าลงไปทิ้ง เนื่องจากเส้นเลือดขาดและเซลล์ตายเพราะผู้ป่วยมาถึงช้าเกินไป นั้น
นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ กรมได้สั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะและกองกฎหมาย ลงพื้นที่โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเวชระเบียน และเอกสารทางการแพทย์ว่ามีการปล่อยปละละเลย ไม่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยตามที่มีการเผยแพร่ข่าวหรือไม่ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะมุ่งตรวจสอบในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ทั้ง 2 ประเด็น
ได้แก่ 1) ในขณะที่เกิดเหตุแพทย์ผู้ให้บริการมีการดำเนินการรักษาพยาบาลผู้ป่วยถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่ หากตรวจพบว่าแพทย์ผู้ให้บริการมิได้มีการดำเนินการรักษาพยาบาลผู้ป่วยให้ถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลจะถือว่ามีความผิดตามมาตรา 34 (2) ของพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2559 ฐานไม่ควบคุมและดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของแพทย์ผู้ให้บริการ จะส่งเรื่องให้แพทยสภาพิจารณาเอาผิดด้านจริยธรรมต่อไป
และ 2) ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวมีการประเมิน และช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลเพื่อให้พ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือถ้ามีความจำเป็นต้องส่งต่อหรือผู้ป่วยมีความประสงค์ จะไปรับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลอื่น ได้จัดให้มีการ ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นอย่างเหมาะสมหรือไม่ หากไม่มีการดำเนินการตามมาตรฐาน ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 36 ของ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2559 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยกรม สบส.จะประสานสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ร่วมตรวจสอบว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) หรือไม่ ผ่านระบบบันทึกและประเมินผู้ป่วย สพฉ.หากผู้ป่วยรายดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) โรงพยาบาลห้ามเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วย ในระยะเวลา 72 ชั่วโมงแรกเด็ดขาด ตามนโยบายรัฐบาล “ เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP)
ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำให้โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมยึดหลักคุณธรรมและมนุษยธรรมเป็นสำคัญในการช่วย ชีวิตผู้ป่วย โดยไม่นำค่าใช้จ่ายมาเป็นเงื่อนไขในการรักษาพยาบาล เพื่อคุ้มครองชีวิตของประชาชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ และหากผู้ใดมีข้อคำถาม หรือข้อร้องเรียนโรงพยาบาลเอกชนสามารถติดต่อได้ที่ สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส.หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 ต่อ 18406 .-สำนักข่าวไทย