ขึ้นทะเบียนต่างด้าววันที่3ยอดรวมกว่า8หมื่นคน

ก.แรงงาน 26 ก.ค.- กระทรวงแรงงาน เผย 3 วัน มีต่างด้าวใต้ดินเข้าระบบแล้ว กว่า 8 หมื่นคน จากนายจ้างกว่า 2 หมื่นคน ย้ำวันพิสูจน์ความสัมพันธ์นายจ้างตัวจริงและลูกจ้างต้องมาด้วยตัวเอง



บรรยากาศการขึ้นทะเบียนแจ้งการทำงานของแรงงานต่างด้าวที่ศูนย์รับแจ้งฯ บริเวณชั้น 1 กระทรวงแรงงาน วันที่ 3 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย  มีนายจ้างนำเอกสารทยอยเข้ามายื่นแจ้งขอจ้างงานคนต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานยังคงให้บริการและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ทั้งการแนะนำวิธีการเตรียมเอกสาร  การแจ้งเปลี่ยนนายจ้างกรณีบัตรสีชมพู ที่ให้ไปดำเนินการที่สำนักงานจัดหางานในพื้นที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่ได้เลย  รวมถึงกำชับว่าการแจ้งการทำงานรอบนี้ นายจ้างสามารถมาดำเนินการเพียงคนเดียวได้ ไม่ต้องนำต่างด้าวมาด้วย เป็นต้น 


ทั้งนี้ เนื่องจากรอบนี้ทางกระทรวงอนุโลมให้นายจ้างสามารถให้ผู้แทนมายื่นแจ้งที่ศูนย์แทนได้ กรณีไม่สะดวก ทำให้ช่วงสายวันนี้ พบว่ามีผู้แทน 1 คน เข้ามายื่นคำขอจ้างคนต่างด้าวต่อเจ้าหน้าที่แทนนายจ้างถึง 8 คน จากการสอบถามทราบชื่อคนที่มาดำเนินการแทนนายจ้าง คือนายมลเทียน เวียงลอ พนักงานบริษัทเอกชน โดยเขาเปิดเผยว่า นอกจากเป็นพนักงานในบริษัทแล้ว ยังทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านของนายจ้างด้วย เมื่อทราบว่า ผู้แทนสามารถยื่นแจ้งแทนได้ นายจ้างจึงได้มอบหมายให้ตนมายื่นขอจ้างคนต่างด้าวเพื่อทำงานบ้าน จำนวน 15 คนแทน ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมายื่นแทนนายจ้างมากถึง 8 คนนั้น เพราะเป็นของส่วนนายจ้างที่ตนทำงานด้วย และลูกหลาน รวมถึงญาติของนายจ้างด้วย ซึ่งทั้ง 8 คนมีบ้าน 8 หลัง แต่ละคนก็ใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านประมาณ 1-3 คนต่อบ้าน 1 หลัง พอตนรับมาทำหน้าที่ยื่นแจ้งแทน จึงรวบรวมมาแจ้งทีเดียวพร้อมกันทั้ง 8 คนเลย 


ขณะที่ หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์รับแจ้งใต้กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การมายื่นแทนนายจ้างทีเดียวหลายคนทำได้ แต่ต้องมีที่มาที่ไปที่น่าเชื่อถือ ซึ่งกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ ได้ขึ้นทะเบียนรับแจ้งและออกใบนัดให้นายจ้างทั้ง 8 คน พร้อมย้ำว่าวันพิสูจน์ความเป็นนายจ้างลูกจ้าง นายจ้างและลูกจ้างต้องมาเอง ให้คนอื่นแทนไม่ได้ แต่หากนายจ้างป่วย มาไม่ได้ ต้องมีใบรับรองแพทย์ และผู้แทนที่มาแทนต้องเป็นเครือญาติ และหากพบว่า มีคนไทยคนไหนแอบอ้างเป็นนายจ้างให้กับต่างด้าว  มีโทษปรับ 2-6 แสนบาท หรือจำคุก 1-3 ปี ย้ำนายจ้างควรรีบนำแรงงานมาขึ้นทะเบียนในช่วงแรกๆอย่ารอตอนท้าย เพราะคนอาจแน่น และการดำเนินการจะได้เป็นไปตามเป้าที่กระทรวงวางไว้

อย่างไรก็ตาม หลังกระทรวงแรงงาน เปิดขึ้นทะเบียนการทำงานคนต่างด้าวผ่านศูนย์รับแจ้งทั่วประเทศ 101 ศูนย์ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เวลา 11.00 น.มีนายจ้างมายื่นแจ้งการทำงานคนต่างด้าวแล้ว 24,297 คน แรงงานต่างด้าว 83,335 คน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานสัญชาติเมียนมา รองลงมาคือ กัมพูชา และลาว ตามลำดับ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ชายขับเก๋งแดงแหกด่านเข้ารับทราบ 3 ข้อหา

ชายขับเก๋งแดงแหกด่าน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมขอโทษหลังเป็นชนวนเหตุตำรวจทำร้ายผิดตัว แต่ยังไม่ตอบคำถามว่าเมาหรือไม่

สธ.ยืนยันนักร้องสาวเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากนวดบิดคอ

“สมศักดิ์” ยัน “ผิง ชญาดา” ไม่ได้นวดบิดคอเสียชีวิต ชี้ผลตรวจ MRI ไม่มีกระดูกคอหักหรือเคลื่อน เผยผลวินิจฉัยเป็น “โรคไขสันหลังอักเสบ” จนติดเชื้อในกระแสเลือด ขอประชาชนมั่นใจ ไม่เกี่ยวการนวด