วงสัมมนานักกฎหมายไทย 4.0 จี้มหาวิทยาลัยปรับหลักสูตร

กทม. 22 ก.ค.-สมาคมนิติศาสตร์ มธ. จัดสัมมนา
‘นักกฎหมายไทย
4.0’ คณบดีนิติศาสตร์ ม.สยาม
ชี้มหาวิทยาลัยตั้งปรับตัว-แต่ห้ามลืมจรรยาบรรณ
ผู้พิพากษาเผยศาลยุติธรรมนำร่องใช้ระบบ
e-Court แล้ว-ฟ้องผ่านเน็ตได้
เล็งสืบพยานผ่านจอภาพ-เก็บสำนวนในระบบดิจิตอล
อาจารย์นิติฯมธ.ชี้ต้องวางระบบป้องกันสูงกันถูกแฮ็ก
ปรับหลักสูตรใหม่รองรับดิจิตอล-ผลักดัน นศ.ฝึกงาน
 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2560 ที่ห้องประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร
คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์ท่าพระจันทร์ สมาคมนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี
2560 สมัยที่ 21 และงานเสวนาเรื่อง ‘นักกฎหมายไทย 4.0 โดยมี ผศ.ดร.สมหมาย
จันทร์เรือง คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม นายธนารักษ์ เนาวรัตน์
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายสัตยะพล สัจจเดชะ
อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นผู้ร่วมเสวนา มี รศ.ศิริศักดิ์
ศุภมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ


นายสมัคร เชาวภานันท์ นายกสมาคมนิติศาสตร์
ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ต่อไปคนเรียนนิติศาสตร์ อาจตกงานกันเยอะ
โดยเฉพาะตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย เพราะอนาคตดิจิตอลจะเข้ามามีบทบาทด้านกฎหมาย
ในอินเทอร์เน็ตจะบันทึกรายละเอียดแต่ละคดีไว้ ต่อไปเวลาลูกความมีปัญหาอะไร
จะไม่มาปรึกษาที่ปรึกษากฎหมาย แต่เสิร์ชดูในอินเทอร์เน็ตเลยว่า มีปัญหาอย่างนี้ รู้คำตอบทันทีว่ามีปัญหาอะไร
อย่างไรก็ดีวิธีพิจารณาในศาลต้องใช้ทนายอยู่
ปัจจุบันศาลแพ่งใต้นำระบบดิจิตอลมาใช้ในการยื่นคำฟ้อง และแจ้งผลหมายเข้ามาช่วยแล้ว
ทนายไม่ต้องไปที่ศาลอีกต่อไป อยู่สำนักงานก็สามารถส่งข้อมูลไปได้
ตรงนี้สำคัญต้องเรียนรู้โดยเฉพาะทนาย หรือที่ปรึกษากฎหมาย


ผศ.ดร.สมหมาย คณบดีนิติศาสตร์ ม.สยาม กล่าวว่า
เรื่องนี้สำคัญเพราะนักกฎหมายไทยยุค
4.0 นอกเหนือจากเรื่องกฎหมายแล้ว
ต้องรู้เรื่องเทคโนโลยี และเรื่องภาษาต่างประเทศ พร้อมกับต้องคิดปรับปรุงอะไรใหม่
ๆ ให้ทันเหตุการณ์ นอกจากนี้สถาบันการศึกษา
ต้องรับทราบว่าเทรนด์ปัจจุบันตอนนี้ไปทางไหน จำเป็นต้องปรับเรื่องหลักสูตร อาจารย์
เพื่อผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ขณะนี้ประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาทั้งหมด
74
แห่งที่เปิดสอนวิชาเกี่ยวกับนิติศาสตร์ ถ้าไม่ปรับตัวอาจเกิดปัญหาทางการแข่งขัน
เท่าที่ทราบตอนนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ม.ธรรมศาสตร์ ปรับตัวไปพอสมควรแล้ว

ผศ.ดร.สมหมาย กล่าวอีกว่า
การปรับตัวของสถาบันการศึกษา และวิชานิติศาสตร์ คือ การคิดนอกกรอบ
นำหลักสูตรไปใช้ในเชิงธุรกิจ หรือด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น แต่คำถามจากผู้ปกครองนิสิตนักศึกษาปัจจุบันคือ
ถ้าเรียนวิชานี้แล้วจะได้เป็นอัยการ ได้เป็นผู้พิพากษาหรือไม่
ตรงนี้อาจารย์ต้องมีความกล้าหาญบอกว่า การเรียนนิติศาสตร์ไม่ได้มีทางเลือกแค่นี้
แต่มีหลักสูตรใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมด้วย เช่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีอากร นักกฏหมายเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
หรือที่ปรึกษากฎหมายก็ได้ ถ้าสถาบันการศึกษาไทยปรับตัวเรื่องนี้ได้
นักกฎหมายไทยยุค
4.0 พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้แน่นอน

นอกจากจะปรับตัวให้เป็นไปตามยุค 4.0 แล้ว เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพของนักกฎหมายยังจำเป็นต้องมีอยู่ด้วย
และจะทำอย่างไรให้สถาบันการศึกษาสร้างนิสิตนักศึกษาให้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง
เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ไป เป็นภัยต่อสังคมมาก ๆ” ผศ.ดร.สมหมาย กล่าว

นายธนารักษ์ ผู้พิพากษา กล่าวว่า
นักกฎหมายกับนักไอทีเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่ในเมื่อเป็นยุค
4.0 ที่เทคโนโลยีจะมาแทนทุกสิ่ง จึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้ตนทราบข้อมูลว่าไทยถูกจัดอันดับการลงทุนโดยธนาคารโลก
มีข้อหนึ่งที่ใช้เป็นหลักเกณฑ์คือ
ศาลได้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คู่ความในการเข้าถึงความยุติธรรมหรือไม่
ซึ่งตรงนี้ไทยได้ศูนย์คะแนนมาหลายปีมาก เพราะการพิจารณาคดีของศาล และทางธุรการ
แทบไม่ได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยในการทำงาน
และการพัฒนาระบบดิจิตอลก็ต่างคนต่างทำ และระเบียบปฏิบัติของศาลไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร จึงเป็นโจทย์ยากในการนำเทคโนโลยีมาใช้

นายธนารักษ์ กล่าวอีกว่า
ภายหลังตนได้เป็นผู้พิพากษา และเป็นหนึ่งในคณะทำงานของนายวีระพล ตั้งสุวรรณ
ประธานศาลฎีกาคนปัจจุบัน ได้นำเทคโนโลยีของศาลต่างประเทศที่เคยไปเรียนรู้มาปรับใช้ภายในไทย
เพื่อให้ศาลไทยเป็น
e-Court เหมือนต่างประเทศได้หรือไม่
เบื้องต้นขณะนี้ไทยมีระบบยื่นฟ้อง ประทับรับฟ้อง การยืนยันตัวตน
และการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว และกำลังรวบรวมฐานข้อมูล (
Big Data) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าค้นข้อมูลคดี หรือดำเนินกระบวนการฟ้องได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วย
เบื้องต้นศาลยุติธรรมนำร่องระบบนี้อย่างเป็นทางการแล้ว
2 ศาล
ได้แก่ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และเตรียมขยายผลไปยังศาลยุติธรรมต่าง ๆ
ทั่วประเทศ

สาเหตุที่นำร่องที่ 2 ศาลแพ่งดังกล่าวก่อน
เนื่องจากคดีเกี่ยวกับธนาคาร ต้องการสร้างความเชื่อมั่นว่า
ขนาดธนาคารที่ต้องใช้เอกสารสำคัญทางคดี ยังกล้าดำเนินการผ่านทางระบบ
e-Court
นั่นแสดงถึงความเชื่อมั่นว่า
ระบบนี้ปลอดภัยและไม่มีข้อมูลสำคัญหลุดออกไปภายนอกแน่นอน” นายธนารักษ์ กล่าว

นายธนารักษ์ กล่าวว่า ระบบ e-Court จะเป็นระบบที่มองผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายศาล และฝ่ายคู่ความ
โดยเฉพาะฝ่ายคู่ความ หรือทนายความจะได้ประโยชน์ของระบบนี้มาก
ทั้งนี้ในการกำกับดูแล
e-Court จะมีสำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (
DE) เข้ามาช่วยดูว่า
ระบบตรงไหนติดขัดอะไร ตรงไหนควรปรับปรุงอะไร
และดำเนินการให้สอดคล้องกับระเบียบหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อออกเป็นข้อกำหนดของศาลภายหลังได้

นายธนารักษ์ กล่าวด้วยว่า
ปัจจุบันกฎหมายไทยได้ปรับปรุงให้ศาลสามารถสืบพยาน
หรือไต่สวนทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว
โดยเฉพาะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์
ที่เปิดให้มีการสืบพยานทางระบบดิจิตอลได้
และจัดทำสารบบคำพิพากษาสำนวนเป็นอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการยื่นฟ้อง
และการจัดเก็บสำนวนสามารถทำได้ในระบบนี้ทั้งหมด โดยศาลต้องออกเป็นข้อกำหนด
 

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา
กล่าวว่า สำหรับโร้ดแม็พของศาลยุติธรรมที่วางไว้
ต่อไปคือจะเพิ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ในห้องพิจารณาคดี โดยมีระบบ
Big Data เข้าไปช่วย เช่น ผู้พิพากษาไม่ต้องขนสำนวนมาเป็นแฟ้ม แต่ถือมาแค่แฟรชไดรฟ์
หรือแล็ปท็อปมาเครื่องเดียวจบ หรือการบันทึกการพิจารณาคดี
จากเดิมใช้กล้องตั้งไว้เฉย ๆ เวลาจะดูซ้ำต้องกรอไปมา
แต่คราวนี้จะบันทึกแบบแยกระบบภาพ และเสียง มีการบันทึกแบบหลายมิติ
หากอยากจะดูข้อมูลตรงพยานปากนี้ สามารถกดเข้าไปได้เลย ไม่ต้องกรอไปมาเหมือนเดิม
เป็นต้น นอกจากนี้ยังจะเพิ่มห้องพิจารณาคดีแบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วย
ใช้วิธีสืบพยานทางไกลผ่านจอภาพ ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด
รวมถึงระบบการบริหารจัดการคดีที่จะเป็นไฟล์ดิจิตอลทั้งหมด สำหรับความคืบหน้าของระบบใหม่นี้
อยู่ระหว่างเขียนขอบเขตร่างของงาน (
TOR) และหาผู้รับจ้างมาดำเนินการ

คนใดเป็นเจ้าของข้อมูล คนนั้นเป็นผู้ครองโลก
ศาลมีข้อมูลเยอะ แต่ไม่เคยเอาข้อมูลมารวมกันเป็น
Big Data แต่ตอนนี้กำลังดำเนินการระบบนี้อยู่
ประธานศาลฎีกาคนปัจจุบันเคยส่งคนไปดูงานที่เมืองจีน เพราะตอนแรกจีนล้าหลังมาก
แต่ตอนหลังเขาทำ
Big Data ได้เข้มแข็งมาก
ดังนั้นของไทยต่อไปจะบูรณาการเชื่อมโยงระบบข้อมูลทั้งหมดไว้ด้วยกัน” นายธนารักษ์
กล่าว

นายสัตยะพล อาจารย์นิติฯ มธ.กล่าวว่า
ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก ยุคทนายความที่ใส่ครุยเก่า ๆ มีความเก๋า มันไม่ใช่อีกต่อไป
แต่ตอนนี้เป็นนยุค
4.0 นักกฎหมายถูกกำหนดด้วยเทคโนโลยี
ศาลยุติธรรมมีการใช้ระบบ
e-Court หรือระบบ e-Filling แล้ว อย่างไรก็ดีต้องถามกลับไปยังศาลว่า พร้อมกับระบบนี้จริงหรือไม่
เพราะสิ่งที่ต้องระวังคือ
Cyber Security ศาลจะทำอย่างไรที่จะเก็บรักษาข้อมูลต่าง
ๆ เหล่านี้ไว้อย่างเป็นความลับ และไม่สุ่มเสี่ยงถูกแฮ็กข้อมูล
ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของนักกฎหมาย
4.0 ต้องระวังเรื่องนี้เป็นหลักก่อน
นอกจากนี้นักกฎหมายต้องทำความเข้าใจ ศึกษาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี
และระบบดิจิตอลให้มากขึ้น
เชื่อว่าในอนาคตจะมีกรณีผู้เสียหายที่เกิดจากการแฮ็กข้อมูลเพิ่มขึ้น
ถ้านักกฎหมายศึกษาและมีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้แบบลึก และช่วยเยียวยา หาตัวผู้กระทำผิดให้กับผู้เสียหายได้
คงไม่ตกงาน
 

นายสัตยะพล กล่าวอีกว่า
นักกฎหมายต้องปรับตัวนอกเหนือจากความรู้พื้นฐานแล้ว
ต้องพัฒนาไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วย นั่นคือเทรนด์ในโลกอนาคต หมดยุคนักกฎหมาย
หรือที่ปรึกษากฎหมายแบบธรรมดาแล้ว ที่ปรึกษากฏหมายหลังจากนี้จะต้องลึกซึ้ง
ไม่ใช่ให้ความเห็นแบบทั่วไป ต้องเป็นเหมือนผู้เข้ามากำหนด
หรือช่วยคิดแผนงานด้านกฎหมายด้วย ต้องลึกมากกว่าการสืบค้นที่มีในอินเทอร์เน็ต
ต้องเรียนรู้นอกเหนือตำรากฎหมาย ต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ
การเมือง และตอบโจทย์ลูกความให้ดีที่สุด
ต่อไปจะทำงานประเภทตั้งสำนักงานนั่งให้คำปรึกษาอยู่ออฟฟิศ
หรือไปลุยงานระหว่างประเทศได้
เพราะเทรนด์ปัจจุบันนิสิตนักศึกษาเริ่มสนใจอยากเป็นที่ปรึกษากฎหมายมากขึ้น
นอกเหนือจากการเป็นผู้พิพากษา หรืออัยการ
 

นายสัตยะพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้สถาบันต่าง ๆ
ที่สอนหลักสูตรนิติศาสตร์ ควรเพิ่มวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลัก
เพราะสำคัญมากกับโลกในปัจจุบัน และอนาคต
รวมถึงต้องสัมมนาหลักสูตรตัวเองเพื่อรองรับระบบดิจิตอลด้วย จะใช้ระบบเก่า ๆ
หรือวิชาเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว ที่สำคัญควรผลักวิชาสำคัญ ๆ
ที่จำเป็นกับการใช้ในวิชาชีพมาเป็นวิชาหลัก
และให้วิชาที่ไม่ได้ประเทืองสติอะไรมากนักเป็นวิชาเลือกแทน
ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการฝึกงานของนิสิตนักศึกษา
โดยให้นิสิตนักศึกษาไปฝึกงานตามสำนักงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพมากขึ้น
โดยพัฒนามาเป็นวิชาที่มีหน่วยกิต ปัจจุบัน ม.ธรรมศาสตร์ เริ่มทำแบบนี้แล้ว
ปีการศึกษาหน้านักศึกษาปี
4 ต้องไปฝึกงาน
นับเป็นสิ่งที่ดีในการรองรับนิสิตนักศึกษาเพื่อให้เห็นกระบวนการทำงานของวงการกฏหมาย
รวมถึงควรส่งเสริมให้พบกับศิษย์เก่า หรือคนที่อยู่ในวิชาชีพ เพื่อมาเล่าประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจของงาน
เปิดกว้างความคิดว่า ไม่ใช่มีแต่อาชีพผู้พิพากษา หรืออัยการเพียงอย่างเดียว
.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบแล้วบ้าน “พระอลงกต” ที่ขอนแก่น ชาวบ้านเผยเป็นคนใจดี

ขอนแก่น 25 ส.ค. – พบแล้วบ้านของ “พระอลงกต” ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง ชาวบ้านเผย “พระอลงกต” เป็นคนใจดี กลับมาแจกเงินทุกปี พอเห็นข่าวรู้สึกตกใจและสงสาร เพราะเที่เคยสัมผัสเป็นคนใจดี ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลเพื่อตามหาบ้านของพระอลงกต รู้ว่าเป็นคน จ.ขอนแก่น ตั้งแต่กำเนิด สืบค้นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน พบระบุว่าบ้านเกิดของหลวงพ่ออลงกต อยู่ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง และไปพบบ้านของพ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ซึ่งทุกคนไม่ได้เรียกว่าพระอลงกต แต่จะคุ้นเคยเรียกกันว่าพระจอร์จ และนิสัยของพระพระอลงกตมีแต่เรื่องราวดีๆ มอบให้กับสังคม พระอลงกตจะแวะเวียนมาบอกบุญเสมอปีละครั้ง ในช่วงวันเกิดที่โรงเรียนแก่นนคร ที่พระอลงกตเคยศึกษา อย่างช่วงที่พ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ยังมีชีวิต พ่อเฉยจะทำว่าวให้เด็กๆ ละแวกนี้เล่น เป็นที่รักของคนในชุมชนเช่นกัน พี่สาวของพระอลงกต ขายข้าวแกงอยู่ตรงข้ามบ้านพักข้าราชการ ซึ่งบ้านของครอบครัวพระอลงกต จะอยู่ติดกับรั้วของสำนักงานทางหลวง แต่พอครอบครัวพระอลงกตเกษียณก็พากันย้ายออกไปอยู่ที่อื่น บ้านพักปัจจุบันนี้ไม่มีใครอยู่ และบ้านส่วนตัวก็ไม่มีใครอยู่อาศัยเช่นกัน พระอลงกตออกจากบ้านไปช่วงปี 2527 แต่พระอลงกตจะกลับมาที่บ้านส่วนตัวทุกปี หลังจากเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ เพื่อมาทำบุญวันเกิดโรงเรียนแก่นนคร มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ เสมอ […]

ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์”

กทม. 24 ส.ค.-ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่า ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยโวยวายและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ คาดน่าจะเกิดจากมึนเมา กรณีนักแสดงสาว “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่าวัด ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยได้ลงจากรถมาโวยวายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทาง พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง เผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สน.วังทองหลาง ได้ตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ช่วงเวลาประมาณ 02.00-04.00 น. ได้ขอตรวจรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีเขียว ปรากฏว่ามี น.ส.มารี เบรินเนอร์ นักแสดงสาว เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอัศม์กรณ์ โดยสารมาด้วย ซึ่งนั่งข้างหน้า และมีผู้หญิงมาด้วยอีก 2 คน เมื่อขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ นายอัศม์กรณ์ กลับโวยวาย ขัดขวางไม่ให้ตรวจ และมีการด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย แต่ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ในที่สุดตำรวจได้คุมตัวทั้งหมดมายัง สน.วังทองหลาง พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ กับนางสาวมารี เนื่องจากนางสาวมารี ไม่ยินยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จากนั้นนางสาวมารี ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 20,000 บาท […]

“คาจิกิ” ทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ไทยฝนตกเพิ่มทุกภาค

กรุงเทพฯ 24 ส.ค.- กรมอุตุฯ ออกประกาศระบุ ช่วงเช้าที่ผ่านมา พายุโซนร้อน “คาจิกิ” ในทะเลจีนใต้ ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น เตือน 57 จังหวัด เฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 24-27 ส.ค.68 นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พายุโซนร้อน “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น “กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย ก่อนจะขึ้นฝั่งตอนบนของ ประเทศเวียดนาม และ สปป.ลาว ในช่วงวันที่ 25–26 สิงหาคมนี้ ขอบด้านหน้าของพายุ เริ่มส่งผลกระทบต่อไทยตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีเมฆฝนเพิ่มขึ้น จากนั้นจะมีฝนตก ก่อนขยายไปยังภาคกลาง รวมทั้ง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ในช่วงวันถัดไป กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า อิทธิพลของพายุ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีกำลังแรง จะทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ […]

“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดี เป็นคลิปตกแต่งเสียง

ทำเนียบ 24 ส.ค.-“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดีศาล รธน. ที่ “ชวน” ได้ยินเป็นคลิปตกแต่งเสียง ฟังกี่รอบก็ชัดว่า “นั่งลงครับ” เตือนประชาชนบิดเบือนข้อมูลใส่ร้าย อย่าโพสต์ ไม่ชัวร์ อย่าแชร์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ กล่าวถึง กรณีมีการบิดเบือนคำพูดในวันสืบพยานของนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากนายกรัฐมนตรีกล่าวคำสาบานตนแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้กล่าวคำว่า “นั่งลงครับ” แต่กลับมีกระบวนการนำไปบิดเบือนและตกแต่งเสียง โดยกล่าวหาว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดว่า “นั่งลงลูก“ ซึ่งเป็นการบิดเบือน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าอดีตประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ได้สัมภาษณ์ให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวหลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นายชวน หลีกภัย อาจจะยังไม่ได้ฟังคลิปเต็มๆ จริงๆ ในวันดังกล่าว หรือไม่ก็อาจจะได้ฟังจากคลิปที่ถูกบิดเบือนและตกแต่ง ซึ่งความเป็นจริงการบันทึกเสียงทั้งหมดหรือการกล่าวบนบัลลังก์ คนที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาก็ได้ยินตรงกันว่า “นั่งลงครับ” ทั้งสิ้น นายจิรายุ กล่าว ตนในฐานะเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลองค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ ติดตามการทำงานกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลใดๆ ในกระบวนการยุติธรรมที่จะใช้คำพูดในลักษณะเช่นนี้ […]

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ชี้หากพบกัมพูชารุกล้ำ-ลอบวางทุ่นระเบิด พร้อมใช้กำลังพลตอบโต้

เกษตรศาสตร์ 25 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ชี้หากพบทหารกัมพูชารุกล้ำ-ลอบวางทุ่นระเบิด พร้อมใช้กำลังพลตอบโต้ แต่ยิงแจ้งเตือนก่อน หากยังขัดขืนสั่งยิงทันที เชื่อประชุม RBC 27 ส.ค.นี้ ราบรื่นดี มองหากกัมพูชาไม่รับเงื่อนไขเก็บทุ่นระเบิด เตรียมเก็บหลักฐานฟ้อง UN วันนี้ (25 ส.ค. 68) ที่ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา (RBC) ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ หากฝ่ายกัมพูชาไม่ตกลงที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่า ถ้าไม่เก็บกู้ก็จะรายงานไปที่ UN และทำบันทึกไว้เพื่อเป็นการประท้วง ส่วนการประชุม RBC ที่พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 มีการตอบรับเรื่องเก็บกู้ระเบิดร่วมกัน ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ควรจะมีการตอบรับด้วยหรือไม่เพื่อแสดงถึงความจริงใจ นั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า […]

ผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งเร่งออกโฉนดให้ชาวบ้านหนองจาน

สรแก้ว 25 ส.ค. – ผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งที่ดินจังหวัดเร่งดำเนินการออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้านหนองจานโดยเร็ว พร้อมส่งทีมสำรวจ เร่งแก้ไขปัญหาที่ดินตามแนวชายแดนให้แล้วเสร็จ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่ดินจังหวัด ป่าไม้ ส.ป.ก. ชี้แจงกรณีปัญหาของที่ดินบ้านหนองจาน พร้อมให้ประชาชนแสดงการยื่นเอกสารสิทธิการถือครองที่ดิน เพื่อคัดกรองเตรียมออกโฉนดให้กับชาวบ้านในพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านกุดผือ ที่มีที่ดินอยู่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณหลักเขตแดนที่ 46-47 เพื่อดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้โดยเร็ว โดยมีชาวบ้านนำเอกสารสิทธิ น.ส.2 สค.1 น.ส.3 มายื่นให้เจ้าหน้าที่เข้าสู่ระบบการคัดกรองเพื่อออกโฉนดที่ดินตามนโยบายเร่งด่วน ซึ่งจังหวัดจะแบ่งทีมสำรวจลงพื้นที่เป็น 3 ชุด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ดินตามแนวชายแดน ตั้งแต่พื้นที่อำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอตาพระยา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สร้างความดีใจให้กับประชาชนเป็นอันมาก.- สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

แจงยิบข้อดี MOU43 กรอบแนวทางสำรวจปักปันเขตแดน

กต. 25 ส.ค.- อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ แจงละเอียดยิบข้อดี MOU43 ใช้เป็นกรอบแนวทางการสำรวจปักปันเขตแดน เพื่อทำแผนที่ใหม่ร่วมกันตามหลักสากล เตือนยกเลิกหนีแผนที่ 1 : 200,000 ไม่พ้น และจะวนมาทำ MOU กันใหม่ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายถึงที่มาของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ MOU 43 ว่าเป็นเอกสารพื้นฐานของกรอบการเจรจา ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ MOU2543 หรือ MOU43 อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ มั่นใจว่า ประเทศไทยได้เปรียบจาก MOU43 เนื่องจาก MOU43 เป็นการกำหนดกรอบความตกลง และกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสำรวจ-จัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจาก หนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำ และแนวเส้นตรง […]