สปท.เห็นชอบแผนปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจ

รัฐสภา 18 ก.ค.- สปท.เห็นชอบแผนปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจเพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน ที่เสนอเพิ่มเงินประจำตำแหน่งตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน และปรับเงินประจำตำแหน่งพนักงานสอบสวน ใช้ระบบตามผลการปฏิบัติงาน


 การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท.เป็นประธานการประชุม พิจารณารายงานการปฏิรูปของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เรื่องการปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจเพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองประธานกรรมาธิการฯ ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการตำรวจ ชี้แจงว่า รัฐบาลปัจจุบันมองเห็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การปฏิรูปตำรวจ ต้องเน้นการดูแลตำรวจและให้ตำรวจภาคภูมิใจว่าทำหน้าที่เพื่อประชาชน ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ พบว่า ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณที่เกิดขึ้นมานาน ส่วนหนึ่งเกิดจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะผู้บริหารในพื้นที่มักไม่สนใจเรื่องการแสวงหาแหล่งงบประมาณที่ถูกต้อง 


รองประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจึงได้รับงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องปฏิรูประบบการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณของตำรวจใหม่ โดยให้มีการวิเคราะห์เหตุผลความจำเป็น ความต้องการใหม่หมดทุกรายการ (Zero Base) ให้ สตช.วิเคราะห์และจัดทำต้นทุนหน่วยปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติงานทุกหน่วยในสังกัดขึ้นใหม่ทั้งหมดอย่างละเอียดถูกต้องตามคู่มือการจัดทำต้นทุนหน่วยปฏิบัติงานของสำนักงบประมาณ ซึ่งจะต้องประกอบด้วย กรอบอัตรากำลังพล กรอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กรอบการจัดหาครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น 

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ต้องวิเคราะห์ทบทวนยุทธวิธีตำรวจ ระบบงานและการจัดกำลังใหม่ทั้งหมด เนื่องจากยุทธวิธีตำรวจและการจัดกำลังของสถานีตำรวจเดิมได้จัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2533 แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น สายตรวจตำบลเดิมกำหนดให้ 2 ตำบลเป็น 1 เขตตรวจ ใน 1 เขตตรวจจัดกำลังตำรวจรับผิดชอบ 4 นาย การจัดเช่นนี้ จะยังสามารถปฏิบัติงานได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันค่าเฉลี่ยจำนวนประชากรในเขตตรวจตำบลจะอยู่ที่ 13,780 คน กำลังตำรวจ 4 คนจะสามารถดูแลได้หรือไม่ หรือ กรณีเขตตรวจชุมชนที่กำหนดให้ประชาชน 4,000 คน เป็น 1 เขตตรวจจะยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ หากในตึกสูงมีประชาชนอยู่อาศัยครบ 4,000 คนแล้ว จะแบ่งเขตตรวจอย่างไร 

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า ทุกหน่วยงานใน สตช.ควรวิเคราะห์ทบทวนยุทธวิธีตำรวจ ระบบงานและการจัดกำลังใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ ต้องวิเคราะห์ทบทวนกำหนดจำนวนกำลังพลที่ถูกต้องเหมาะสม กำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ใหม่ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น การวิเคราะห์ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สายตรวจ เพราะงานสายตรวจ ต้องเคลื่อนตัวเข้าถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอุปกรณ์สำคัญ 


“แต่เกณฑ์ทั่วไปสำนักงบประมาณ จัดสรรให้คันละ 50,500 บาทต่อปี คิดเป็นเดือนละ 4,208 บาทหรือวันละ 140 บาท รถยนต์สายตรวจ 1 คัน ทำงานวันละ 3 ผลัด ผลัดละ 8 ชั่วโมง ดังนั้น ใน 1 ผลัด 8 ชั่วโมง มีงบประมาณค่าน้ำมัน 47 บาท หรือคิดเป็นน้ำมันได้ 1.5 ลิตร สำหรับการตรวจ 8 ชั่วโมง เช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ เกณฑ์ทั่วไปสำนักงบประมาณจัดสรรให้คันละ 4,000 บาทต่อปี หรือคิดเป็นเดือนละ 333 บาท วันละ 11 บาทสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมง ซึ่งหากใช้เกณฑ์ทั่วไปจัดสรรน้ำมันเชื้อเพลิง จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าว

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า  ดังนั้น ควรศึกษาเพื่อกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ความต้องการอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ทุกประเภทและเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ ทุกรายการใหม่ เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สายตรวจ ควรใช้ระยะทางที่สายตรวจแต่ละเขตจะต้องเคลื่อนตัวในรอบ 1 ปีมาคำนวณเป็นความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิง

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า นอกจากนี้ เสนอให้จัดสรรเงินงบประมาณค่าตอบแทนการสอบสวนคดีอาญาให้ครบถ้วนตามจำนวนคดีที่เกิดขึ้นจริง โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนการสอบสวนคดีอาญาในแต่ละปีให้เต็มจำนวนที่พนักงานสอบสวนขอเบิกจ่ายในแต่ละปีโดยไม่ให้มียอดค้างชำระไปในปีงบประมาณถัดไป สำหรับในส่วนของยอดเบิกจ่ายที่ยังค้างชำระในแต่ละปี ให้สำนักงบประมาณจัดงบประมาณเพื่อชำระคืนให้กับพนักงานสอบสวนให้เต็มจำนวนที่ยังคงค้างชำระ 

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า อัตราค่าใช้จ่ายในแต่ละคดีที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลังไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ดังนั้น กระทรวงการคลังและ สตช.ควรร่วมพิจารณาปรับอัตราค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณากำหนดประเภทและอัตราค่าใช้จ่ายของคดีที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ให้สามารถเบิกจ่ายได้เพิ่มเติมจากระเบียบเดิมให้เหมาะสมกับความเป็นจริง

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า เสนอให้ปรับค่าตอบแทนให้ข้าราชการตำรวจ โดยเงินเดือนให้ยึดตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และให้เพิ่มเงินประจำตำแหน่งสำหรับความเหนื่อยของแต่ละตำแหน่งตามจำนวนชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานเวลาการทำงานของข้าราชการพลเรือนสามัญ เพิ่มเงินประจำตำแหน่งสำหรับตำแหน่งที่มีความเสี่ยงภัย เนื่องจากตำรวจมีความเสี่ยงมากกว่าข้าราชการพลเรือนสามัญ 13.56-22.57 เท่า และต่างประเทศมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนของข้าราชการตำรวจเปรียบเทียบกับข้าราชการพลเรือนสามัญเฉลี่ย 1.28-1.74 เท่า ดังนั้น จึงควรใช้เกณฑ์นี้กับตำรวจไทย

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ควรปรับเงินประจำตำแหน่งพนักงานสอบสวนในสังกัด สตช.ให้เท่าเทียมกับพนักงานสอบสวนในหน่วยงานอื่น ๆ อย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อดำรงตนได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถไปหารายได้อื่น ทั้งนี้ เสนอให้ใช้ระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานแก่ตำแหน่งพนักงานสอบสวน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างแรงจูงใจในการทำงาน แก้ปัญหาพนักงานสอบสวนหนีงาน ปฏิเสธไม่รับคดีและปัญหาความเหลื่อมล้ำได้

ขณะที่สมาชิก สปท.ส่วนใหญ่สนับสนุนแผนปฏิรูปดังกล่าว และเสนอว่า นอกจากดูแลตำรวจแล้ว ต้องดูแลครอบครัวของตำรวจให้ครบทุกด้านตั้งแต่ที่พักและโรงเรียน รวมทั้งเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ส่งรายงานดังกล่าวไปยังคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจด้วย จากนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายงานดังกล่าวด้วยคะแนน 129 ต่อ 1 เสียง งดออกเสียง 16 เสียง เพื่อนำส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป.-สำนักข่าวไทย                    

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]