fbpx

สปท.เห็นชอบแผนปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจ

รัฐสภา 18 ก.ค.- สปท.เห็นชอบแผนปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจเพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน ที่เสนอเพิ่มเงินประจำตำแหน่งตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน และปรับเงินประจำตำแหน่งพนักงานสอบสวน ใช้ระบบตามผลการปฏิบัติงาน


 การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท.เป็นประธานการประชุม พิจารณารายงานการปฏิรูปของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เรื่องการปฏิรูประบบงบประมาณกิจการตำรวจเพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองประธานกรรมาธิการฯ ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการตำรวจ ชี้แจงว่า รัฐบาลปัจจุบันมองเห็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การปฏิรูปตำรวจ ต้องเน้นการดูแลตำรวจและให้ตำรวจภาคภูมิใจว่าทำหน้าที่เพื่อประชาชน ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ พบว่า ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณที่เกิดขึ้นมานาน ส่วนหนึ่งเกิดจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะผู้บริหารในพื้นที่มักไม่สนใจเรื่องการแสวงหาแหล่งงบประมาณที่ถูกต้อง 


รองประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจึงได้รับงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องปฏิรูประบบการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณของตำรวจใหม่ โดยให้มีการวิเคราะห์เหตุผลความจำเป็น ความต้องการใหม่หมดทุกรายการ (Zero Base) ให้ สตช.วิเคราะห์และจัดทำต้นทุนหน่วยปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติงานทุกหน่วยในสังกัดขึ้นใหม่ทั้งหมดอย่างละเอียดถูกต้องตามคู่มือการจัดทำต้นทุนหน่วยปฏิบัติงานของสำนักงบประมาณ ซึ่งจะต้องประกอบด้วย กรอบอัตรากำลังพล กรอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กรอบการจัดหาครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น 

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ต้องวิเคราะห์ทบทวนยุทธวิธีตำรวจ ระบบงานและการจัดกำลังใหม่ทั้งหมด เนื่องจากยุทธวิธีตำรวจและการจัดกำลังของสถานีตำรวจเดิมได้จัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2533 แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น สายตรวจตำบลเดิมกำหนดให้ 2 ตำบลเป็น 1 เขตตรวจ ใน 1 เขตตรวจจัดกำลังตำรวจรับผิดชอบ 4 นาย การจัดเช่นนี้ จะยังสามารถปฏิบัติงานได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันค่าเฉลี่ยจำนวนประชากรในเขตตรวจตำบลจะอยู่ที่ 13,780 คน กำลังตำรวจ 4 คนจะสามารถดูแลได้หรือไม่ หรือ กรณีเขตตรวจชุมชนที่กำหนดให้ประชาชน 4,000 คน เป็น 1 เขตตรวจจะยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ หากในตึกสูงมีประชาชนอยู่อาศัยครบ 4,000 คนแล้ว จะแบ่งเขตตรวจอย่างไร 

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า ทุกหน่วยงานใน สตช.ควรวิเคราะห์ทบทวนยุทธวิธีตำรวจ ระบบงานและการจัดกำลังใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ ต้องวิเคราะห์ทบทวนกำหนดจำนวนกำลังพลที่ถูกต้องเหมาะสม กำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ใหม่ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น การวิเคราะห์ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สายตรวจ เพราะงานสายตรวจ ต้องเคลื่อนตัวเข้าถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอุปกรณ์สำคัญ 


“แต่เกณฑ์ทั่วไปสำนักงบประมาณ จัดสรรให้คันละ 50,500 บาทต่อปี คิดเป็นเดือนละ 4,208 บาทหรือวันละ 140 บาท รถยนต์สายตรวจ 1 คัน ทำงานวันละ 3 ผลัด ผลัดละ 8 ชั่วโมง ดังนั้น ใน 1 ผลัด 8 ชั่วโมง มีงบประมาณค่าน้ำมัน 47 บาท หรือคิดเป็นน้ำมันได้ 1.5 ลิตร สำหรับการตรวจ 8 ชั่วโมง เช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ เกณฑ์ทั่วไปสำนักงบประมาณจัดสรรให้คันละ 4,000 บาทต่อปี หรือคิดเป็นเดือนละ 333 บาท วันละ 11 บาทสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมง ซึ่งหากใช้เกณฑ์ทั่วไปจัดสรรน้ำมันเชื้อเพลิง จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าว

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า  ดังนั้น ควรศึกษาเพื่อกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ความต้องการอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ทุกประเภทและเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ ทุกรายการใหม่ เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สายตรวจ ควรใช้ระยะทางที่สายตรวจแต่ละเขตจะต้องเคลื่อนตัวในรอบ 1 ปีมาคำนวณเป็นความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิง

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า นอกจากนี้ เสนอให้จัดสรรเงินงบประมาณค่าตอบแทนการสอบสวนคดีอาญาให้ครบถ้วนตามจำนวนคดีที่เกิดขึ้นจริง โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนการสอบสวนคดีอาญาในแต่ละปีให้เต็มจำนวนที่พนักงานสอบสวนขอเบิกจ่ายในแต่ละปีโดยไม่ให้มียอดค้างชำระไปในปีงบประมาณถัดไป สำหรับในส่วนของยอดเบิกจ่ายที่ยังค้างชำระในแต่ละปี ให้สำนักงบประมาณจัดงบประมาณเพื่อชำระคืนให้กับพนักงานสอบสวนให้เต็มจำนวนที่ยังคงค้างชำระ 

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า อัตราค่าใช้จ่ายในแต่ละคดีที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลังไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ดังนั้น กระทรวงการคลังและ สตช.ควรร่วมพิจารณาปรับอัตราค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณากำหนดประเภทและอัตราค่าใช้จ่ายของคดีที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ให้สามารถเบิกจ่ายได้เพิ่มเติมจากระเบียบเดิมให้เหมาะสมกับความเป็นจริง

รองประธาน กมธ. กล่าวว่า เสนอให้ปรับค่าตอบแทนให้ข้าราชการตำรวจ โดยเงินเดือนให้ยึดตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และให้เพิ่มเงินประจำตำแหน่งสำหรับความเหนื่อยของแต่ละตำแหน่งตามจำนวนชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานเวลาการทำงานของข้าราชการพลเรือนสามัญ เพิ่มเงินประจำตำแหน่งสำหรับตำแหน่งที่มีความเสี่ยงภัย เนื่องจากตำรวจมีความเสี่ยงมากกว่าข้าราชการพลเรือนสามัญ 13.56-22.57 เท่า และต่างประเทศมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนของข้าราชการตำรวจเปรียบเทียบกับข้าราชการพลเรือนสามัญเฉลี่ย 1.28-1.74 เท่า ดังนั้น จึงควรใช้เกณฑ์นี้กับตำรวจไทย

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ควรปรับเงินประจำตำแหน่งพนักงานสอบสวนในสังกัด สตช.ให้เท่าเทียมกับพนักงานสอบสวนในหน่วยงานอื่น ๆ อย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อดำรงตนได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถไปหารายได้อื่น ทั้งนี้ เสนอให้ใช้ระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานแก่ตำแหน่งพนักงานสอบสวน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างแรงจูงใจในการทำงาน แก้ปัญหาพนักงานสอบสวนหนีงาน ปฏิเสธไม่รับคดีและปัญหาความเหลื่อมล้ำได้

ขณะที่สมาชิก สปท.ส่วนใหญ่สนับสนุนแผนปฏิรูปดังกล่าว และเสนอว่า นอกจากดูแลตำรวจแล้ว ต้องดูแลครอบครัวของตำรวจให้ครบทุกด้านตั้งแต่ที่พักและโรงเรียน รวมทั้งเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ส่งรายงานดังกล่าวไปยังคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจด้วย จากนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายงานดังกล่าวด้วยคะแนน 129 ต่อ 1 เสียง งดออกเสียง 16 เสียง เพื่อนำส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป.-สำนักข่าวไทย                    

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผู้อพยพจากไทยคว้าแจ็กพอตเพาเวอร์บอล

ผู้อพยพจากไทยไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐดวงเฮง คว้ารางวัลแจ็กพอตลอตเตอรี่เพาเวอร์บอล ได้เงินรางวัลสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“ซูเปอร์โพล” เผยผลสำรวจสเปก “ผบ.ตร.คนใหม่” ต้องซื่อสัตย์สุจริต

“ซูเปอร์โพล” เผยผลสำรวจสเปก “ผบ.ตร.คนใหม่” ต้องซื่อสัตย์สุจริต ชี้ประชาชนเบื่อมากข่าวนายตำรวจระดับสูง ควรเร่งทำงานสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

นายกฯ บอกขอโทษ “ปานปรีย์” แล้ว ไม่ขัดแย้ง

นายกฯ เผยขอโทษ “ปานปรีย์” แล้วหลังหลุดรองนายกฯ รับมีทั้งคนพอใจ ไม่พอใจ ยันสัมพันธ์ลูกเป็นเพื่อนกัน ไม่ขัดแย้ง เชื่อคนใหม่สานต่องานได้  

“ปานปรีย์” รับยื่นลาออก หลังถูกปรับพ้นรองนายกฯ

“ปานปรีย์” ยอมรับยื่นลาออก หลังถูกปรับออกจากรองนายกฯ ชี้หากไม่มีตำแหน่งพ่วงอาจทำงานไม่ราบรื่น ลั่นหากมีคนอื่นเหมาะสมกว่าให้มาทำงานแทน

ข่าวแนะนำ

“ปานปรีย์” ออกจาก รพ. เข้ากระทรวงลา ขรก.

“ปานปรีย์” เข้ากระทรวงฯ เก็บของ-อำลาข้าราชการ บางคนหลั่งน้ำตา เจ้าตัวบอกลาชั่วคราว เรียกใช้งานได้ บอกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อคืน

“อดีตทูตปู มาริษ” เข้าทำเนียบฯ พบนายกฯ

หลังข่าวแพร่สะพัด “อดีตทูตปู -มาริษ” จะได้นั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้ว แทน “ปานปรีย์” ล่าสุดเข้าพบนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลแล้ว  

“ทนายตั้ม” เดินหน้ายื่น ปปง.ยึด-อายัดทรัพย์สินภรรยา “บิ๊กตำรวจ”

“ทนายตั้ม” รุกคืบยื่น ปปง. ยึด-อายัดทรัพย์สินภรรยา “บิ๊กตำรวจ” ที่ได้จากการฟอกเงินเว็บพนัน พร้อมเปิดตัวละครใหม่ “สารวัตร สาวหล่อ” ให้ ปปง.ตรวจสอบด้วย

ผู้อพยพจากไทยคว้าแจ็กพอตเพาเวอร์บอล

ผู้อพยพจากไทยไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐดวงเฮง คว้ารางวัลแจ็กพอตลอตเตอรี่เพาเวอร์บอล ได้เงินรางวัลสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ