จามจุรีสแควร์ 12 ก.ค. – กกพ.มีมติขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 8.87 สตางค์/หน่วย เป็นไปตามคาดการณ์จากต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยผู้ใช้ทุกประเภทอยู่ที่ 3.5966 บาท/หน่วย
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ.มีมติเห็นชอบให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 เพิ่มขึ้นจากงวดที่แล้วเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 เท่ากับ 8.87 สตางค์ต่อหน่วย ตามต้นทุนการผลิตและจัดหาไฟฟ้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5966 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ เนื่องจากสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการใช้ถ่านหินที่ลดลงจากการหยุดบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าตามแผนในช่วงฤดูหนาวที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ ทำให้ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในสัดส่วนและราคาที่สูงขึ้น จากราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวขึ้นก่อนหน้า ขณะเดียวกันยังมีค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสูงกว่าประมาณการรอบที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันสะสมเพิ่มขึ้น 184.10 ล้านบาท จากงวดก่อนที่ 14,312.97 ล้านบาท มาอยู่ที่ 14,497.07 ล้านบาท คิดเป็นค่าเอฟที 1.90 สตางค์/หน่วย
โฆษก กกพ. กล่าวว่า กกพ.ประเมินค่าเอฟทีที่จะเรียกเก็บงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2561 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 12-13 สตางค์/หน่วย เนื่องจากอิงราคาน้ำมันดิบย้อนหลัง 6-12 เดือนก่อน หรือเดือนมกราคม-เมษายน 2560 ที่สูงอยู่ในระดับ 53.10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้างวดถัดไปยังอยู่ในระดับสูงที่ 207-209 บาท/ล้านบีทียู
นอกจากนี้ การปิดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ-เอ18) ที่อยู่นอกแผนเป็นเวลา 17 วัน ส่งผลให้ปริมาณก๊าซหายไปคิดเป็นมูลค่า 444 ล้านบาท คิดเป็นค่าเอฟที 78 สตางค์ รวมกับแผนการหยุดซ่อมประจำปีอีก 7 วัน คิดเป็นค่าเอฟที 4 สตางค์ จะยกยอดไปรวมกับการคำนวณค่าเอฟทีในงวดหน้า.-สำนักข่าวไทย