ภูมิภาค 31 ต.ค.-แม้ราคาข้าวจะตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5 บาท แต่ชาวนายังเร่งเก็บเกี่ยว เนื่องจากเกรงว่าผลผลิตจะได้รับความเสียหาย ส่วนที่ จ.บุรีรัมย์ โรงสีไม่รับซื้อข้าวเปลือกเกี่ยวสด อ้างมีความชื้นสูง
ชาวนาบ้านโคกกลาง อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากโรงสีไม่รับซื้อข้าวเปลือกเกี่ยวสดที่ชาวนาขนใส่รถไปรอขาย โดยอ้างว่ามีความชื้นสูง ทำให้ต้องขนข้าวเปลือกกลับบ้านเพื่อนำมาตากให้แห้ง ก่อนจะนำกลับไปขายใหม่อีกรอบ แต่หากถูกปฏิเสธไม่รับซื้อ หรือได้ราคาต่ำมากจนเกินไปก็จะเก็บไว้บริโภค เพราะไม่มีทางเลือก
ขณะที่ชาวนาบางรายชะลอนำไปข้าวเปลือกไปขาย เพราะได้ราคาต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5-6 บาทเท่านั้น จึงตัดสินใจตากข้าวเก็บใส่ยุ้งฉางไว้ก่อน เพื่อรอความหวังจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ชาวนาส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางพยุงราคาข้าวไม่ให้ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10-15 บาท แทนการให้สินเชื่อ เพราะจะเป็นการสร้างภาระหนี้สินให้กับชาวนาเพิ่มอีก เพราะหนี้สินจากการกู้ยืมไปลงทุนทำนายังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้
ส่วนชาวนาตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เร่งเกี่ยวข้าวนำไปขายให้กับตลาดกลางค้าข้าว ถึงแม้ราคาต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ชาวนากลุ่มนี้รอไม่ได้ เนื่องจากช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำท่วมขังในนา อาจทำให้ข้าวเสียหาย และเกรงว่าจะมีฝนตกลงมาอีก สาเหตุที่ชาวนาเป็นหนี้อยู่ทุกวันนี้เพราะราคาข้าวถูกแต่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแพง จึงอยากให้รัฐบาลช่วยพยุงราคาข้าว 8,000-9,000 บาทต่อตัน ชาวนาถึงจะอยู่ได้
ขณะที่กลุ่มชาวนากว่า 40 ราย พื้นที่บ้านทับเกวียนทอง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ช่วยกันนำข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวจากแปลงนา นำไปตากแดดลดความชื้น นำมาสีแปรสภาพเป็นข้าวสาร ที่โรงสีชุมชนนำออกจำหน่ายให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพและต้องการบริโภคข้าวสารอินทรีย์ ราคากิโลกรัมละ 30 บาท โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง สร้างรายได้เฉลี่ยตันละ 30,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ดีกว่าการนำข้าวเปลือกไปขายให้กับโรงสีหรือท่าข้าว.-สำนักข่าวไทย