นนทบุรี 2 ก.ค. – กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเชื่อมโยงตลาดผลไม้ทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มช่องทางกระจายสินค้า หลังผลไม้หลายชนิดออกสู่ตลาด
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการพาณิชย์จังหวัดสำรวจผลผลิตสินค้าเกษตรโดยเฉพาะสินค้าผลไม้ในพื้นที่ เพื่อวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล การเชื่อมโยงตลาดระหว่างจังหวัด รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้า เพื่อให้เกษตรกร มีช่องทางการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง ซึ่งผลไม้ปลูกมากในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอื่น ๆ โดยภาคตะวันออกจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมาและจะออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี ต่อด้วยผลผลิตจากภาคใต้จะออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ส่วนภาคเหนือจะมีลิ้นจี่ ส้มเขียวหวาน ลำไย จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน และช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี ขณะที่สับปะรดเป็นผลไม้ที่ไม่มีฤดูกาลสามารถออกสู่ตลาดได้ทั้งปี
นางอภิรดี กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและบริโภคสินค้าผลไม้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผลไม้ภาคตะวันออกเริ่มทยอยออกสู่ตลาด โดยจัดงาน “มหานครผลไม้ 2017” จังหวัดจันทบุรี เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อเชิญชวนทั้งชาวไทยและต่างประเทศร่วม ชม ชิม และช้อปผลไม้ในงาน อีกทั้งจัดงานบุฟเฟต์ทุเรียนและผลไม้ไทยในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี และห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง จำหน่ายได้ราคาดี และผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณร้อยละ 80-90 โดยเฉพาะทุเรียนออกสู่ตลาดแล้วกว่าร้อยละ 90 ราคาจำหน่ายปลีกทุเรียนหมอนทอง (ระยองเมื่อ 28 มิ.ย. 60) 120/140 บาท/กก. เงาะโรงเรียนคละราคา 35-45 บาท/กก.
สำหรับสถานการณ์ผลไม้ภาคใต้ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลักคาดว่าผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดช่วงปลายเดือนกรกฎาคมและออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนสิงหาคม 2560 โดยชุมพรเป็นแหล่งรวบรวมผลไม้ที่สำคัญของภาคใต้ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง และเงาะ โดยทุเรียนของภาคใต้จะส่งไปจำหน่ายในประเทศจีนประมาณร้อยละ 65 ที่เหลือจำหน่ายใน กทม.และกระจายในประเทศ ส่วนมังคุดจะมีทั้งส่งออก จำหน่ายภายในประเทศและเข้าโรงงานแปรรูป โดยผลผลิตผลไม้ของภาคใต้ปีนี้จะลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะลองกองและเงาะ เนื่องจากอากาศแปรปรวน ฝนตกชุกทำให้ผลไม้ออกล่าช้าและติดผลน้อย คาดว่าราคาผลไม้ของภาคใต้จะอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องเช่นเดียวกับภาคตะวันออก
ส่วนสับปะรดมีการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาผลผลิตราคาดีมาก เช่น สับปะรดห้วยมุ่น อุตรดิตถ์ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 250 เมื่อเทียบกับปี 2559 จึงส่งผลกระทบต่อราคาปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดสำรวจปริมาณการผลิต ทั่วประเทศ เพื่อประกอบการวางแผนการตลาดในปีต่อไป.-สำนักข่าวไทย