กทม. 1 ก.ค.- เทคโนโลยีการตัดสินที่ฟีฟ่านำมาใช้ในศึกคอนเฟเดอเรชันส์ คัพ อย่าง Video Assistant Referee หรือ VAR พร้อมฟังทรรศนะจากกูรูฟุตบอลเมืองไทย
ก่อนหน้านี้ในวงการฟุตบอล มีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินของทีมงานผู้ตัดสินในสนามที่ผิดพลาด หรือตามเกมไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวะล้ำหน้า, จังหวะฟาวล์ และการให้จุดโทษกับคู่แข่ง ที่มักก้ำกึ่งว่าควรจะเป็นจุดโทษหรือไม่ ซึ่งมีหลายกระแสเรียกร้องให้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินเหมือนกับกีฬาชนิดอื่นๆ
คณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลนานาชาติ หรือ IFAB ไม่ได้นิ่งนอนใจ และจัดประชุมกันตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2016 นำมาซึ่งการใช้เทคโนโลยีภาพช้า หรือ Video Assistant Referee ชื่อย่อ VAR มาใช้ในการตัดสิน โดยเริ่มครั้งแรกในฟุตบอลระดับท้องถิ่นของสหรัฐ ต่อเนื่องมาจนถึงเกมกระชับมิตรระหว่างฝรั่งเศส และอิตาลี รวมถึงฟุตบอลเอลีก ออสเตรเลีย และเมเจอร์ลีก ของสหรัฐอเมริกา ก็เคยนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการตัดสินด้วยเช่นกัน
1 ปีต่อมาเทคโนโลยีนี้ก็เป็นที่พูดถึงทั่วโลก เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า นำ VAR มาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์ คัพ โดยผู้ตัดสินจะเป็นผู้ชี้ขาดในการเรียกดูวิดีโอ ซึ่งกรณีที่จะนำวิดีโอมาใช้ได้มี 4 กรณีคือ การทำประตูมีจังหวะทำฟาวล์รุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่, การให้หรือไม่ให้จุดโทษ ต้องดูว่ามีการสัมผัสตัวเกิดขึ้น ตั้งใจทำฟาวล์ หรือผู้ที่ได้บอลพยายามพุ่งล้มหรือไม่, จังหวะเข้าฟาวล์รุนแรง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นใบแดงโดยตรง และการแจกใบเหลืองหรือใบแดงผิดคน ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ทั้งนี้ ในศึกคอนเฟเดอเรชันส์ คัพ รอบแรกที่ผ่านมา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลว่า การตัดสินแบบนี้ทำลายอรรถรสในการชม เพราะบางจังหวะที่ดูโปร่งใสอยู่แล้วแต่ผู้ตัดสินก็เลือกใช้ต่อหน้า
ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือ ทีมบุกต่อเกมขึ้นมาจนทำประตูได้ และฉลองกันเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้ตัดสินกลับเรียกดู VAR และตัดสินไม่ให้เป็นประตู เหมือนที่เกิดขึ้นในเกมรอบแรกระหว่างแคเมอรูน กับ ชิลี ที่ผู้ตัดสินปฏิเสธที่จะให้ประตูกับเอดูอาร์โด วาร์กาส ในช่วงท้ายครึ่งแรก เนื่องจากมองว่าเป็นลูกล้ำหน้า
ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเกมระหว่างแคเมอรูนกับเยอรมนี ในจังหวะที่เออร์เนสต์ มาบูกา ไปทำฟาวล์ เอ็มเร ชาน จังหวะนี้ผู้ตัดสินวิลมาร์ โรลดาน เรียกขอดู VAR แต่กลับเดินมาแจกใบแดงให้ผิดคนคือ เซบาสเตียน ซิอานี ซึ่งจุดนี้ถือเป็นความผิดพลาดของตัวผู้ตัดสินเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะขอไปดูวิดีโออีกครั้ง และแจกใบแดงให้กับ มาบูกา ในที่สุด
จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทางฟีฟ่าต้องประชุมกันอีกครั้ง โดยล่าสุด มัสซิโม บูซัคกา หัวหน้าทีมผู้ตัดสิน ยอมรับว่าเทคโนโลยี VAR ทำให้เกมเสียเวลาไปหลายนาที ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสีย ขณะเดียวกัน บูซัคกา เปิดเผยเพิ่มเติมว่าอีกหนึ่งความเป็นไปได้คือการให้แฟนบอลฟังการสนทนาระหว่างผู้ตัดสินกับทีมงาน VAR เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขา
ด้าน “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย และผู้ฝึกสอนชาวไทย เห็นด้วยกับการใช้ VAR เข้ามาตัดสิน แต่ก็ยอมรับว่าการที่เกมต้องหยุดชะงักหลายช่วงทำให้เกมฟุตบอลขาดความไหลลื่น และขาดอรรถรส ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่า ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย จะมีการนำ VAR มาใช้ในการตัดสินหรือไม่ ต้องรอฟีฟ่า ประชุมเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง. -สำนักข่าวไทย