กรุงเทพฯ 23 มิ.ย.- กองปราบสรุปสำนวนคดีโชกุนและพวกร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่งให้อัยการพิจารณาบ่ายนี้ ส่วนผู้เสียหายกว่าพันคนที่ยื่นขอคุ้มครองทรัพย์นั้น อยู่ระหว่างยื่นคำร้องให้ศาลสั่งเฉลี่ยเงืนคืน
พลตำรวจเอกกวี สุภานันท์ ที่ปรึกษา (สบ 10) และ พลตำรวจตรีชวลิต แสวงพืชน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงสรุปสำนวนการสอบสวนในคดีที่นางสาวพสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือโชกุน และพวกรวม 9 คน ร่วมกันหลอกลวงให้ประชาชนซื้อทัวร์ประเทศญี่ปุ่นนับพันราย แต่กลับถูกลอยแพไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังหลอกลวงให้สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและจะได้รับผลตอบแทนเกินความเป็นจริง
คดีนี้มีประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อเข้าแจ้งความรวม 757 คน มูลค่าความเสียหาย 51 ล้านบาท สอบพยานไปทั้งหมด 175 ปาก พร้อมตรวจสอบเส้นทางทางการเงินที่ทำกับผู้เสียหายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ถึงเมษายน 2560 ทั้งหมด 9,278 ธุรกรรม เป็นการโอนเงินเข้า 137 ล้านบาท และโอนออกไป 61 ล้านบาท พร้อมยึดทรัพย์สินทั้งรถยนต์ คอนโดฯ ทองคำ เครื่องเพชร สมุดบัญชีธนาคารกว่า 20 ล้านบาท โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินยังแจ้งความเอาผิดในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงินด้วย
ขณะที่แม่ข่ายที่รับเงินจากผู้เสียหายและบางรายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดนั้น จากการสืบสวนของตำรวจยังไม่พบหลักฐานว่าแม่ข่ายหรือผู้รับโอน รวมถึงบางส่วนยังตกเป็นผู้เสียหาย และยอมชดใช้เงินคืนด้วยตำรวจจึงกันไว้เป็นพยานทั้งหมด
พลตำรวจเอกกวี กล่าวว่า สำนวนการสอบสวนทั้งหมดมีทั้งสิ้น 42 แฟ้ม จำนวนกว่า 18,000 หน้า โดยตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์, ซ่องโจร, พ.ร.บ.อาหาร และ พ.ร.บ.ศุลกากร ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เสียหายมากกว่านี้ แต่ตำรวจมีระยะเวลาในการควบคุมตัวจำกัด ทำให้ต้องรีบสรุปสำนวนก่อนครบกำหนดระยะเวลาฝากขัง ซึ่งบ่ายวันนี้พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนส่งต่ออัยการ
ขณะที่นายสุนทรา พลไกร ผู้อำนวยการส่วนข้อมูลคดีและมาตรการพิเศษทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวว่า มีการดำเนินคดีใน 2 ส่วน คือทางอาญาแจ้งความดำเนินคดีในความผิดฟอกเงิน ส่วนทางแพ่งนั้นทาง ปปง. ได้ยึดทรัพย์ทั้งหมดกว่า 20 ล้านบาท โดยมีผู้เสียหายเข้ายื่นคำร้องขอคุ้มครองทรัพย์แล้ว 1,028 คน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการยื่นคำร้องให้อัยการ เพื่อให้ศาลสั่งเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้เสียหาย โดยหลังจากนี้กระบวนการทั้งหมดจะอยู่ในชั้นศาล และหากผู้เสียหายคนใดรู้ว่ายังมีทรัพย์สินของผู้ต้องหาอยู่ที่ใดก็สามารถแจ้งเข้ามาเพิ่มเติมได้.-สำนักข่าวไทย