กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – สำนักวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งภูมิภาคอาเซียน + 3 แนะไทยเพิ่มการลงทุนภาคเอกชน หนุนไทยโตเต็มศักยภาพ ห่วงหนี้ครัวเรือน และ เอ็นพีแอลสูง
นายคอร์ โฮ อี้ ( Hoe Ee Khor ) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สำนักวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งภูมิภาคอาเซียน + 3 กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าขยายตัวร้อยละ 3.4 และ 3.5 ในปี 2561 ซึ่งเป็นอัตราที่น่าพอใจ เพราะประเทศไทยเผชิญกับภาวะแรงกระแทกจากหลายครั้ง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยและฐานะการคลังยังคงแแข็งแกร่ง ทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน หนี้สาธารณะยังต่ำอยู่ประมาณร้อยละ 40 หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีหนี้สาธารณะสูง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพ เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวต่ำ หากการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้เต็มที่ เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้สูงกว่าปัจจุบัน ส่วนปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย มองว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยที่กดดันการบริโภคในประเทศ และห่วงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ที่ยังเป็นแรงกดดันเอสเอ็มอีต่อ และเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้ในภาวะที่จำเป็น เช่นเดียวกับนโยบายการคลังที่ประเทศไทยสามารถเพิ่มการลงทุนได้และกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
“สำหรับประเทศไทย หลังจากผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมา 20 ปี พบว่าประเทศไทยมีการปฏิรูปไปมาก ทั้งภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน การบริหารความเสี่ยง และ ธรรมาภิบาล ” นายคอร์ โฮ อี้ กล่าว
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน+3 ในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ ร้อยละ 5.1-5.2 โดยเศรษฐกิจในกลุ่มดังกล่าวได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะเติบโตได้ร้อยละ 6.5 ขณะที่ญี่ปุ่น คาดว่าจะแข็งขยายตัวร้อยละ 1.3 โดยปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ คือความเสี่ยงจากเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ซึ่งการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมช่วยรองรับความผันผวนได้ และยังการสนับสนุนการฟื้นตัวของกลุ่มภูมิภาคอาเซียน+3
“ตลอดปีที่ผ่านมา หลายประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาต่ำลง ก็ได้ปล่อยให้ค่าเงินอ่อนค่ามากแล้ว ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการรองรับการไหลออก เพื่อไม่ให้กระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ”นายคอร์ โฮ อี้ กล่าว.- สำนักข่าวไทย