ก.คลัง 19 พ.ค. – กระทรวงการคลังยืนยันไม่มีนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หวั่นกระทบประชาชน เสนอ ครม.ต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 อีกปี
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องตื่นเต้นหรือพาดหัวข่าวเรื่องที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เพิ่มอีกร้อยละ 1 เพราะการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มต้องดูจังหวะเวลาสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแล เรื่องนี้ต้องดูแลให้ดี ๆ เพราะแรงส่งทางเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี หากขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มขณะนี้อาจเหมือนญี่ปุ่นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักไป รัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเสนอ ครม.พิจารณาต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ออกไปอีก 1 ปี จากที่จะครบกำหนดเดือนกันยายนนี้ ส่วนร่าง พ.ร.บ. ภาษีลาภลอยนั้น กระทรวงการคลังดำเนินการศึกษาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปฏิรูปกฎหมายประมวลรัษฎากร ซึ่งจะพิจารณาภาษีทั้งระบบ ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีลาภลอย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างร่าง พ.ร.บ. ภาษีลาภลอย เพื่อเรียกเก็บจากผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาเร็ว ๆ นี้ ส่วนข้อเสนอของ สนช.ก็พร้อมที่จะนำไปพิจารณารายละเอียดด้วย
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เชื่อว่าหากรัฐบาลตัดสินใจปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อเสนอของ สนช.จะทำให้เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวเกิดสภาวะช็อค ประชาชนมีการกักตุนสินค้าก่อนขึ้นภาษีเหมือนประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าหากกระทรวงการคลังรอเวลาให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจชัดเจน ราคาผลผลิตทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น และพิจารณาเรื่องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกครั้งในเดือนกันยายน 2561 จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากกว่าเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบาง เพราะเป็นการฟื้นตัวบางกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น กลุ่มฐานรากยังชะลอการใช้จ่าย แม้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตประมาณร้อยละ 3.6 คาดเศรษฐกิจจะฟื้นตัวชัดเจนช่วงไตรมาส 3 ที่รัฐบาลเริ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้างโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ EEC ประกอบกับเป็นไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว ภาคส่งออก ทำให้กลุ่มฐานรากมีรายได้มากขึ้น.-สำนักข่าวไทย