กรมสอบสวนคดีพิเศษ 26 เม.ย.-มารดาเด็กหญิงผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ เข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอ พิจารณาเข้าข่ายรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ยอมรับพอใจตำรวจหลังคดีคืบหน้าไปมาก
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ พร้อมมารดาเด็กหญิงผู้เสียหายในคดีที่ถูกตำรวจภูธรน้ำเพียงดิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซื้อบริการทางเพศ ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานค้ามนุษย์ เดินทางมาเข้าพบ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ ดีเอสไอ พิจารณาข้อมูลในคดีนี้ว่า เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่ เนื่องจากคดีนี้มีตำรวจและข้าราชการระดับสูงในพื้นที่เกี่ยวข้องและผู้เสียหายถูกข่มขู่มาโดยตลอด
นายเกิดผล ยอมรับว่า ผู้เสียหายมีความกังวลใจในเรื่องของการทำหน้าที่ เนื่องจากคดีนี้ ผู้ต้องหาเป็นตำรวจ และมีข้าราชการระดับสูงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งล่าสุดเมื่อเช้านี้มีโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนหน่วยงานความมั่นคงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โทรศัพท์มาหาแม่เด็กหญิงผู้เสียหาย เพื่อให้ไปพูดคุยในเรื่องคดี แต่ทางแม่เด็กได้ปฏิเสธ และแจ้งว่าให้ติดต่อทางทนายความแทน ในเรื่องนี้ส่วนตัวกังวลว่าจะเป็นลักษณะของการข่มขู่ วันนี้จึงนำข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมทั้งข้อมูลที่ได้หารือกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) และข้อมูลล่าสุดวันนี้มาหารือกับดีเอสไอว่าจะสามารถนำเรื่องนี้เข้าสู่ขั้นตอนการเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางแม่ของเด็กต้องการให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากคดีความไม่มีความคืบหน้า มีบุคคลมีสี และผู้มีอำนาจมาเกี่ยวข้อง แต่หลังจากหารือกับรอง ผบ.ตร.วานนี้ ถือว่ามีความพอใจในการเร่งรัดคดีของตำรวจเพื่อให้คดีมีความคืบหน้ามากขึ้น ส่วนดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ก็ต้องขอปรึกษากับครอบครัวผู้เสียหาย และขอให้เป็นไปตามอำนาจกฏหมายที่ดีเอสไอมี
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวยืนยันจะให้ความช่วยเหลือทางคดีอย่างเต็มที่ เพราะดีเอสไอมีความสนใจในคดี เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และมีข้าราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง และหากผู้เสียหายเกิดความวิตก จะประ สานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน ส่วนจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ต้องขอพิจารณารายละเอียดว่าจะเข้าข่ายตามกฎหมายของดีเอสไอ มาตรา 21 หรือไม่ ว่าคดีมีความยุ่งยากซับซ้อน และมีผู้มีอิทธิพล หรือข้าราชการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ จึงต้องขอเวลาพิจารณาก่อน
แต่ในเบื้องต้นดีเอสไอจะรับเรื่องนี้ไว้มาทำการสอบสวนข้อมูล ควบคู่ไปกับตำรวจ แต่ในส่วนของคดีต้องให้ตำรวจเดินหน้าทำคดี เนื่องจากทราบข้อมูลพบว่ามีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก และหากรับเป็นคดีพิเศษ ยืนยันไม่เป็นการทับซ้อนกับตำรวจ เพราะคดีทั้งหมดต้องโอนจากตำรวจมาให้ดีเอสไอทำเบ็ดเสร็จตามขั้นตอนกฎหมาย แต่ตอนนี้คงจะทำงานขนานกับตำรวจไปก่อน จากการหารือกับดีเอสไอ มารดาเด็กหญิงผู้เสียหายและทนายความ จะเดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ต่อไป.-สำนักข่าวไทย