ภท.เดินหน้าเอาผิด “เศรษฐา” ใส่ร้าย

พรรคภูมิใจไทย 3 พ.ค.-นายทะเบียนภูมิใจไทยแจงหลังถูกบิดเรื่องกม.กัญชา เดินหน้าร้องกกต. สอบ “เศรษฐา-ประเสริฐ” ปราศรัยใส่ร้าย พูดเท็จ ชี้โทษ สูงสุดอาจถึงขั้นยุบพรรค เย้ย “เศรษฐา” แค่ตัวแสดง ไม่มีอำนาจตัดสินใจในพรรค ถ้าสอบตกก็กลับไปขายบ้านต่อ


นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยในลักษณะใส่ร้ายด้วยข้อความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดถึงคะแนนความนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นเรื่องกัญชา โดยกล่าวหาว่าพรรคภูมิใจไทยปล่อยให้มีกัญชาเสรีและมอมเมาเยาวชน ซึ่งการใส่ร้ายดังกล่าวเป็นความเท็จ และขอยืนยันว่าการปลดล็อกกัญชาเป็นการลงมติเห็นชอบเอกฉันท์ของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยส.ส.และส.ว.

“การลงมติเห็นชอบปลดล็อกดังกล่าว สมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ลงมติเห็นชอบด้วย และการออกประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการออกประกาศตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ หรือปล่อยปละละเลย การปลดล็อกกัญชามีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 แล้ว พรรคเพื่อไทยไม่เคยคัดค้านเลย  อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยเห็นว่าประเทศไทยควรมีกฎหมายออกมาควบคุมกัญชาในการใช้ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ จึงเสนอร่างกฎหมายกัญชา กัญชงเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบ เพราะส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นดึงเกมให้การพิจารณาร่างกฏหมายไม่แล้วเสร็จ” นายศุภชัย กล่าว


นายศุภชัย กล่าวว่า การที่นายเศรษฐาปราศรัย เป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 73 ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าห้ามผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตน หรืองดเว้น หรือการลงคะแนนให้ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ (5) หลอกลวงบังคับขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง

“สถานะของนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารของพรรค ที่จะต้องมีหน้าที่ในการควบคุมและกำกับดูแล ไม่ให้สมาชิกกระทำการที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญต่อทั้งระเบียบประกาศและคำสั่ง ซึ่งการที่นายเศรษฐาปราศรัยว่าถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทยจะได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพราะความจริง พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศมาโดยตลอดว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาตลอด” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวว่า ขณะนี้มีสมาชิกพรรค ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวได้ไปดำเนินการทางคดีแล้ว เช่น นายศุภชัย โพธิ์สุ ร้องต่อกกต.จังหวัด ต่อกรณีที่นายเศรษฐา ปราศรัยว่าหากเลือกนายศุภชัยและพรรคภูมิใจไทย จะนำเสรีกัญชามามอมเมาเยาวชนชาวนครพนม  อีกทั้งการที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค เพื่อไทย ออกมากล่าวในลักษณะใส่ร้ายอันเป็นเท็จ ยืนยันว่าพรรคจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องการถูกใส่ร้าย และนายเศรษฐาต้องพร้อมรับผลสิ่งที่พูด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมเรื่องนี้แน่นอน


นายศุภชัย กล่าวว่า ตามมาตรา 101 ของพระราชบัญญัติพรรคการเมืองบัญญัติว่า ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใด ว่ากระทำผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ โดยรู้ว่าเป็นความเท็จ มี โทษต้องระวาง จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นพรรคการเมือง ซึ่งรวมถึงกรรมการบริหารพรรค ต้องระวางโทษเป็นสองเท่า ของโทษที่กำหนดไว้ และให้คณะกรรมการส่งเรื่อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นและเพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคการเมือง” นายศุภชัย กล่าว

ส่วนการดำเนินการดังกล่าว จะเป็นข้อกดดันในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า พรรคไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่น ดังนั้น ขอให้นายเศรษฐาทบทวนการกระทำ และเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยประกาศยืนยันให้ชัดเจนเลยว่า หากเห็นว่ากัญชามีปัญหา จะดำเนินการให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิม พร้อมฝากถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ดำเนินการตามหน้าที่ของทีมงานสืบสวนสอบสวน โดยไม่ต้องรอให้มีผู้มาร้องเรียน ทั้งเรื่องการปราศรัยโจมตี และความพยายามของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ป่วนเวทีปราศรัยของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทางพรรคได้ยื่นให้ตรวจสอบมาหลายครั้งแล้ว เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

ส่วนกรณีนายเศรษฐาตั้งกำแพง ไม่เอาพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และไม่เอาพรรคกัญชา ถ้าหลังเลือกตั้ง ไม่เป็นไปตามนี้ นายเศรษฐาต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ไม่คิดว่านายเศรษฐาจะมีอำนาจตัดสินใจ นายเศรษฐาเป็นเพียงตัวแสดงคนหนึ่งแค่นั้นเอง

“ท่านมา ท่านก็ช็อปปิ้งตำแหน่งนายกฯ ถ้าไม่ได้ก็กลับไปขายบ้านจัดสรรเหมือนเดิม แต่ดูแล้วท่านก็คงประเมินอยู่ ท่านก็มีโอกาสพูดบนเวที แต่ในเชิงการเมืองท่านต้องไปเรียนรู้ ท่านอาจจะมีความสามารถเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่ในเชิงการเมืองท่านต้องเรียนรู้มากกว่านี้” นายศุภชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]