ชัวร์ก่อนแชร์: ยาต้านไวรัส AZT ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงตายมากกว่าเชื้อเอดส์ จริงหรือ?

08 ธันวาคม 2566
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล


ข้อมูลที่ถูกแชร์ :

มีคลิปวิดีโอและข้อมูลเท็จเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา โดยคลิปวิดีโอตัวแรกอ้างว่า แอนโทนี เฟาชี อดีตผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIAID) เคยเป็นผู้ให้การรับรองยาซิโดวูดีน (Zidovudine หรือ AZT) เพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์จากการติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อทศวรรษ 1980’s แต่กลับพบว่ายา AZT ทำให้ผู้ป่วยเอดส์เกิดอาการข้างเคียงจนเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยเอดส์ที่ไม่ใช้ยา ไม่ต่างจากปัจจุบันที่ แอนโทนี เฟาชี แนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่กลับมีผู้เสียชีวิตจากวัคซีนสูงกว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโควิด-19


รวมถึงข้อความที่อ้างบทสัมภาษณ์ของ ฮาวีย์ เบียลีย์ อดีตนักชีววิทยาระดับโมเลกุลชาวอเมริกันซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร Spin เมื่อปี 1989 ก็ยืนยันว่ายาซิโดวูดีนเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยเอดส์จริง

บทสรุป :

  1. ไม่มีหลักฐานว่า ยา AZT ทำให้ผู้รับยาเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยเอดส์ที่ไม่ได้รับยา
  2. แม้ยา AZT จะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากและทำให้เกิดไวรัสดื้อยาได้ง่าย แต่ก็ช่วยให้วงการแพทย์พบว่าการรักษาผู้ป่วยเอดส์จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหลายสูตร
  3. แอนโทนี เฟาชี ไม่ใช่ผู้อนุมัติยาต้านไวรัสหรือวัคซีนโควิด-19 แต่เป็นหน้าที่ของ FDA

FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :


จากการตรวจสอบโดย Fact Checker ในต่างประเทศ ไม่พบว่าข้ออ้างทั้งสองเป็นความจริงแต่อย่างใด

คลิปวิดีโอตัวแรกที่กล่าวโจมตี แอนโทนี เฟาชี นำมาจากสารคดีอื้อฉาวเรื่อง Plandemic 3: The Great Awakening ไตรภาคของสารคดีที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนและการแพร่ระบาดเชื้อของไวรัสโควิด-19

ส่วนข้อความที่ 2 ซึ่งอ้างความเห็นของ ฮาวีย์ เบียลีย์ นักชีววิทยาระดับโมเลกุลชาวอเมริกันผู้ล่วงลับก็ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก ฮาวีย์ เบียลีย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิด AIDS Denialism ที่ไม่เชื่อว่าไวรัส HIV คือสาเหตุของการป่วยเป็นโรคเอดส์ ซึ่งปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวจัดอยู่ในหมวดวิทยาศาสตร์ปลอมหรือ Pseudoscience นอกจากนี้คำกล่าวอ้างของ ฮาวีย์ เบียลีย์ ยังขาดหลักฐานและขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์เช่นเดียวกัน

ที่มาของยาต้านไวรัส AZT

ยาซิโดวูดีนหรือ AZT ถือเป็นยาต้านไวรัสชนิดแรกที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส HIV

แต่เดิมยา AZT ถูกพัฒนาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งในทศวรรษที่ 1960’s แต่การวิจัยต้องยุติลงหลังไม่พบประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง กระทั่งมีการนำยา AZT กลับมาวิจัยเพื่อใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัส HIV เป็นครั้งแรกในปี 1984

ในปี 1981 มีรายงานการพบผู้ป่วยเอดส์ครั้งแรกในลอส แอนเจลิสจำนวน 5 ราย

จนกระทั่งปี 1987 ในสหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ป่วยเอดส์เพิ่มเป็น 47,022 ราย และมีผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตจนถึงปี 1987 ถึง 40,849 ราย

แรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลต่อความล้มเหลวในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ทำให้องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ตัดสินใจอนุมัติการใช้ยา AZT เพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์เป็นครั้งแรกในปี 1987

การอนุมัติของ FDA อ้างอิงจากการวิจัยทดลองยาปี 1986 ของ Burroughs Wellcome บริษัทผู้ผลิตยา AZT ซึ่งแบ่งกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยเอดส์จำนวน 300 ราย โดยครึ่งหนึ่งได้รับการรักษาด้วยยา AZT เป็นเวลา 6 เดือน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอกเป็นน้ำตาลอัดเม็ด

แต่การทดลองยาต้องจบลงในเวลาเพียง 16 สัปดาห์ หลังพบว่ากลุ่มที่ได้รับยา AZT เสียชีวิตเพียงรายเดียว ส่วนกลุ่มที่รับยาหลอกเสียชีวิตไปถึง 19 ราย

Burroughs Wellcome จึงตัดสินใจยุติการทดลองยา เพราะเชื่อว่าประโยชน์ของยาเป็นที่ประจักษ์ และการทดลองยาต่อไปจะเป็นอันตรายต่อกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยาหลอก เพราะพวกเขาควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ปัญหาของยา AZT

อย่างไรก็ดี ระยะเวลาที่ใช้ไปเพียง 2 ปีกับ 1 เดือน นับตั้งแต่การเริ่มทดลองยาจนถึงการผ่านการรับรอง ส่งผลให้ FDA ถูกวิจารณ์เรื่องการอนุมัติยารวดเร็วเกินไป ต่างจากปกติที่ต้องใช้เวลาตรวจสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาเป็นเวลา 8-10 ปี

หลังจากจำหน่ายไปแล้ว ยา AZT ยังถูกโจมตีในหลายประเด็น ทั้งกระบวนการทดลองของยาที่ขาดความรัดกุม เมื่อกลุ่มตัวอย่างบางรายยอมรับว่าสามารถแยกรสชาติได้อย่างชัดเจนว่าได้รับยา AZT หรือน้ำตาลอัดเม็ดที่ใช้เป็นยาหลอก

รวมถึงกระแสวิจารณ์เรื่องราคายา AZT ที่ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินในการรักษาถึงปีละ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงยาของผู้ป่วยทั่วไป

นอกจากนี้ ผู้ป่วยเอดส์ที่ใช้ยา AZT จำนวนไม่น้อยยังพบปัญหาจากอาการข้างเคียงหลายชนิด ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ จนถึงภาวะโลหิตจางและผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

การคิดค้นยาต้านไวรัสแบบค็อกเทล

ปัญหาใหญ่ของผู้ป่วยเอดส์ที่ใช้ยา AZT คืออาการดื้อยาเนื่องจากการกลายพันธุ์ไวรัส

ข้อมูลในปี 1989 พบการดื้อยาในผู้ป่วยที่ใช้ยารักษาไปแล้วเกิน 6 เดือน ซึ่งบางรายสามารถเกิดอาการไวรัสดื้อยาหลังจากใช้ยาไปเพียงไม่กี่วัน

ปัญหาของการใช้ยา AZT ทำให้วงการแพทย์ตระหนักว่า การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส HIV ด้วยยาเพียงชนิดเดียวเป็นการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การวิจัยปี 1996 ที่พบว่า การใช้ยาต้านไวรัส 3 ชนิดขึ้นไปหรือการรักษาด้วยรีโทรไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง (Highly Active Antiretroviral Therapy หรือ HAART) จะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ดีขึ้นและลดโอกาสการดื้อยาของไวรัสได้มากขึ้น

วิธีการในยุคแรก คือการใช้ยา AZT ร่วมกับยายับยั้งการสร้างโปรตีนของไวรัส (Protease inhibitors) ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถลดการแบ่งตัวของไวรัสจนอยู่ในปริมาณที่แทบจะตรวจไม่พบ

ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกาพบว่า การรักษาแบบ HAART ช่วยให้การเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส HIV ในสหรัฐอเมริกาช่วงกลางทศวรรษ 1990’s ลดลงอย่างมาก

การคิดค้นยาทดแทน

ปัจจุบันมีการคิดค้นยาต้านไวรัสชนิดใหม่ ๆ มีก่อให้เกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่ายา AZT ถึง 30 ชนิด ทำให้ความจำเป็นในการใช้ยา AZT กับผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ดี ยา AZT ยังมีความจำเป็นกับผู้ติดเชื้อไวรัส HIV บางกลุ่ม เช่น สตรีมีครรภ์ที่จำเป็นต้องใช้ยา AZT เพื่อลดโอกาสการส่งต่อเชื้อไวรัสไปยังทารกในครรภ์

ไม่มีหลักฐานว่ายา AZT ทำให้ผู้ป่วยตายมากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยา

แม้ยา AZT จะเต็มไปด้วยปัญหาเรื่องอาการข้างเคียงและการทำให้ไวรัสดื้อยา แต่ไม่มีงานวิจัยใดที่พบว่าการใช้ยา AZT ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV เสียชีวิตในอัตราที่สูงกว่าผู้ติดเชื้อที่ไม่ใช้ยา หรือไม่มีรายงานพบผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตจากการใช้ยา AZT เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ในยุค 1980’s ยา AZT มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเอดส์อย่างมาก ตัวยาเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้คนนับล้าน และยังเป็นยาตั้งต้นที่ช่วยให้วงการแพทย์พัฒนาการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

แอนโทนี เฟาชี ไม่ใช่ผู้อนุมัติยา AZT

แม้ แอนโทนี เฟาชี จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIAID) ตั้งแต่ปี 1984 และเป็นผู้ริเริ่มโครงการวิจัยเกี่ยวกับ HIV/AIDS ตั้งแต่ปี 1986 ทั้งยังสนับสนุนการใช้ยา AZT เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อไวรัส HIV มาตั้งแต่ต้น

แต่ แอนโทนี เฟาชี ไม่ใช่ผู้อนุมัติการใช้ยา AZT ตามที่กล่าวอ้าง เพราะบทบาทดังกล่าวเป็นขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ข้อมูลที่ แอนโทนี เฟาชี ใช้สนับสนุนการใช้ยา AZT รักษาผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ก็ตรงกับข้อมูลที่วงการแพทย์รับรองในเวลานั้นเช่นเดียวกัน

ข้อมูลอ้างอิง :

https://healthfeedback.org/claimreview/claims-that-people-were-being-killed-by-zidovudine-azt-instead-of-aids-are-unsubstantiated/
https://www.politifact.com/factchecks/2023/jun/09/instagram-posts/no-evidence-of-azidothymidine-or-azt-killing-hundr/
https://apnews.com/article/fact-check-aids-hiv-fauci-covid-pandemic-833586389602

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

สีสันรัฐมนตรีรวมตัว ถ่ายรูปทำบัตร

24 ก.ย. – ทำเนียบกลับมาคึกคัก หลังรัฐมนตรีมารวมตัว ถ่ายรูปทำบัตร วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนได้เห็นตัวรัฐมนตรี และครบทั้งคณะ งานนี้เรียกว่าเต็มไปด้วยสีสัน.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ เสียงสั่นน้ำตาคลอ ซาบซึ้งหลังนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ

ทำเนียบ 24 ก.ย.-นายกฯ ปลื้มปีติเสียงสั่นน้ำตาคลอ ซาบซึ้งหลังนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ลั่นพร้อมทำงานสุดความสามารถ สละทั้งชีวิตให้ราชบัลลังก์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะรัฐมนตรีเดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล หลังจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ ที่ตึกบัญชาการ 1 ทันทีที่มาถึง ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราโชวาทอย่างไรบ้าง โดยนายอนุทิน กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และน้ำตาคลอ ว่า คณะรัฐมนตรีทุกคนได้รับพระราชทานพร และพระบรมราโชวาท ตนเชื่อว่า คณะรัฐมนตรีทุกท่านมีความปลื้มปีติ และจะต้องทำงานสนองพระเดชพระคุณ และสนองพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดความสามารถ สุดชีวิต สุดสมองของแต่ละท่านที่มีอยู่ เป็นมงคลสูงสุดที่พวกเราได้รับ ผู้สื่อข่าวกระเซ้านายกฯ ว่า ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ นายอนุทิน ยิ้ม และพยักหน้ารับ ก่อนย้ำว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สามัญชนอย่างตนพึงได้รับ จะไม่มีทางทำอะไรนอกจากทำคุณงามความดีให้กับประเทศและประชาชน ตามพระราชดำรัสที่ได้รับสั่งไว้ เมื่อถามว่า ยอมสละชีวิตได้ทุกอย่างเลยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “สละทั้งชีวิตให้ราชบัลลังก์ ซึ่งทำมานานแล้ว เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม”.-319.-สำนักข่าวไทย

สนง.เขตดุสิต ประกาศห้ามเข้า ห้ามใช้อาคาร ใกล้พื้นที่ถนนทรุดตัว

กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – สำนักงานเขตดุสิต ประกาศห้ามเข้า ห้ามใช้อาคาร ใกล้พื้นที่ถนนทรุดตัว หน้า รพ.วชิรพยาบาล กรณีเกิดถนนทรุดตัวขนาดใหญ่บริเวณถนนสามเสน ทั้งสองฝั่ง ตั้งแต่แยกวชิรพยาบาล ถึงแยกราชวิถี ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาการจราจร การประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก ตลอดจนสิ่งสาธารณะของประชาชนได้รับความเสียหายในพื้นที่ และถนนอาจทรุดตัวเพิ่มใกล้อาคารที่อยู่บริเวณถนนสุโขทัย แขวงและเขตดุสิต กรุงเทพฯ จากการตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้นอาคารดังกล่าวอาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน เห็นควรหยุดใช้อาคาร หากมีการใช้อาคารอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้อาคารได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สำนักงานเขตดุสิต จึงประกาศห้ามเข้า ห้ามใช้อาคาร ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร […]

วิศวกรรมสถานฯ ห่วงดินอ่อนเสี่ยงขยายวง หลังถนนหน้า รพ.วชิรพยาบาล ทรุดตัว

กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – วิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเหตุถนนทรุด หน้า รพ.วชิรพยาบาล เบื้องต้นพบยังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัว มีโอกาสสไลด์เพิ่ม หากมีฝนตกลงมา นายธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุผิวจราจรทรุดตัวบริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ายังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัวและมีโอกาสสไลด์เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะหากมีฝนตกลงมา จะเพิ่มความเสี่ยงให้พื้นที่ไม่คงตัวมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเร่งหาทางปิดแหล่งน้ำที่รั่วซึม ทั้งจากท่อประปาและท่อระบายน้ำ ซึ่งยังมีน้ำไหลออกมาเป็นระยะ หากสามารถหยุดได้จะช่วยสร้างเสถียรภาพชั่วคราวให้กับดิน และลดโอกาสการขยายวงของการทรุดตัว พร้อมกันนี้มีการนำเครื่องมือสำรวจ เช่น 3D Scan มาช่วยวัดความกว้าง ความยาว และความลึกของหลุม เพื่อประเมินความปลอดภัยและแนวทางแก้ไขอย่างชัดเจน สำหรับอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล (สน.ใหม่) พบว่าเสาเข็มบางต้นหักหรือแตกร้าว ทำให้ต้องตรวจสอบรอยร้าวของโครงสร้างอาคารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตรายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ นายธเนศ เน้นย้ำว่า มาตรการสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงและไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้วิศวกรรมสถานฯ ได้เสนอแนวทางเบื้องต้น คือการควบคุมน้ำไม่ให้รั่วซึม การกั้นเขตพื้นที่เสี่ยง และการติดตามโครงสร้างอาคารโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าพื้นที่จะกลับมาเสถียรและปลอดภัยเมื่อใด ด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณถนนทรุด […]