สำนักข่าวไทย 11 ก.ค. – อธิบดีกรมวิทย์ ชี้ ไทยพบ BA.4 และ BA.5 เพิ่มขึ้น กทม.มากสุด คาดแนวโน้มแพร่จากเมืองไปชนบท ส่วนการติดเชื้อไวรัส พบ BA.4 และ BA.5 แพร่เร็ว ยังไม่ฟันรุนแรงกว่า BA.2 หรือไม่ แต่น่าจะรุนแรงกว่า เตรียมให้ รพ.ทุกสังกัด เร่งเก็บข้อมูล
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์ความคืบหน้าการติดตามสายพันธุ์เชื้อโควิด-19 ว่า ในกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ พบติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 เป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 3 ใน 4 ของผู้เดินทาง ส่วนการติดเชื้อในไทย พบติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย กทม.พบถึง 72% ส่วนในภูมิภาค พบ 34.7% เรียกว่าพบ BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้น ยกเว้นเขตสุขภาพที่ 3 ที่ยังไม่ค่อยพบ ซึ่งคาดว่าการติดเชื้อและการแพร่ก็จะเป็นในลักษณะจากเมืองสู่ชนบท ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 จะทำให้ป่วยหนัก หรือมีอาการรุนแรงหรือไม่นั้น จากการติดตามพบว่าในพื้นที่ กทม. พบคนติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง 72% แต่พบว่ามีผู้ที่มีอาการรุนแรง ปอดอักเสบ นอน รพ. ใส่ท่อหายใจ และเสียชีวิต พบถึง 13 คน หรือคิดเป็น 77% ส่วนในระดับภูมิภาค พบในจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ มีอาการไม่รุนแรง 309 คน ส่วนคนที่มีอาการรุนแรงพบ 45 คน หรือคิดเป็น 46.67% ดังนั้น ในส่วนของความรุนแรงของ BA.4 และ BA.5 น่าจะมากกว่า BA.2
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลกพบว่า สัดส่วนของ BA.5 เพิ่มขึ้น จาก 37% เป็น 52% และเมื่อมีการติดตามว่า มีการแพร่เร็วแค่ไหน หรือหลบภูมิคุ้มกันหรือไม่ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก คาดว่า ในส่วนของความรุนแรงไม่ได้แตกต่าง ส่วนการแพร่เร็วนั้น แพร่เร็วกว่าแน่นอน ทั้งนี้จากการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสาตร์ของญี่ปุ่น พบว่าการกลายพันธุ์มีผลต่อการเพิ่มจำนวนไวรัส และดื้อต่อภูมิคุ้มกัน ซึ่งหมายความว่าใครที่เคยติดเชื้อ BA.1 และ BA.2 สามารถติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้ และพบว่าเชื้อไวรัส BA.4 และ BA.5 สามารถแพร่ได้เร็วในเซลล์ปอดมนุษย์ มากกว่า BA.2
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขอย้ำว่า BA.4 และ BA.5 ยังไม่สรุปว่ารุนแรง แต่เบื้องต้นน่าจะเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เตรียมขอความร่วมมือ รพ.ทุกสังกัด มหาวิทยาลัย สังกัด กทม. ฯลฯ เก็บตัวอย่างคนปอดอักเสบ จนนอน รพ. หรือใส่ท่อช่วยหายใจ รวมทั้งผู้เสียชีวิต ส่งตรวจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ข้อมูลชัดเจนและมั่นใจมากขึ้น และในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดเผยข้อมูลตรวจภูมิคุ้มกันผู้รับวัคซีนต่อเชื้อ BA.4 และ BA.5 ว่าเป็นอย่างไร .-สำนักข่าวไทย