สำนักข่าวไทย 21 มิ.ย. – ศูนย์จีโนม เผยจีเสส (GISAID) ระบุโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการติดเชื้อปอดอักเสบขึ้นได้ในมนุษย์ เริ่มพบการติดเชื้อมากขึ้นในแถบยุโรป แต่ WHO ยังไม่ประกาศยกระดับเตือนภัย
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงสายพันธุ์โควิด-19 ว่าจากฐานข้อมูลโควิดโลก หรือ GISAID มีรายงานในประเทศแถบยุโรปและแอฟริกาใต้ พบโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 และ BA.4 เพิ่มมากขึ้น โดย BA.5 พบการกลายพันธุ์ต่างไปสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นมากที่สุด เกือบ 90 ตำแหน่ง ส่วน BA.4 พบการกลายพันธุ์ต่างไปสายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 80 ตำแหน่ง การกลายพันธุ์มากขึ้นก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและอาจจะแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้ในอนาคต แต่อาการจะรุนแรงมากหรือไม่ยังต้องติดตาม โดยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในโปรตุเกสที่เข้ารักษาใน รพ.เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 80% รองลงมาคือแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นประมาณ 50% ตามมาด้วยอังกฤษ ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม สเปน อิตาลี เดนมาร์ก ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบยุโรปเกือบทั้งหมด ที่เริ่มเห็นสัญญาณผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้า รพ.เพิ่มขึ้น ที่น่ากังวลคือผลการทดลองในสัตว์ทดลองเบื้องต้นบ่งชี้ว่า BA.4 และBA.5 เพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด ก่อให้เกิดการติดเชื้อปอดอักเสบขึ้นได้ในมนุษย์ ต่างไปจากโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ซึ่งเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามข้อมูล ขณะนี้บางประเทศในยุโรปมีการยกระดับการเตือนภัยแล้ว โดยเฉพาะที่โปรตุเกสหน่วยควบคุมโรคของยุโรปได้ยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องระมัดระวัง แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ยกระดับให้ BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์น่ากังวลใจ
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวว่าสำหรับประเทศไทยจากฐานข้อมูล GISAID ที่สถาบันการแพทย์ต่าง ๆ ร่วมถอดรหัสพันธุกรรมและบันทึกข้อมูลเข้าไปพบมีผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 จำนวน 26 คน BA.4 จำนวน 23 คน และ BA.2.12.1 จำนวน 18 คน โดยพบตั้งแต่เดือน เม.ย.65 จนถึงปัจจุบัน จำนวนดังกล่าวเป็นการสุ่มตรวจ และจากรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ามารักษาตัวใน รพ. ยังไม่เพิ่มจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในรายที่พบคาดว่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากที่ศูนย์จีโนมฯ ที่ทำการถอดรหัสในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลยังไม่พบสายพันธุ์ BA.5 และ BA.4 ข้อมูลในรายที่พบและรายงานใน GISAID น่าจะเป็นการสุ่มตรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ฐานข้อมูล GISAID มีรายงานสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยช่วง 60 วันที่ผ่านมามีดังนี้ BA.2 จำนวน 44% BA.2.9 จำนวน 26% BA.2.10 จำนวน 7% BA.2.3 จำนวน 5% BA.2.10.1 จำนวน 4% BA.2.27 จำนวน 3% BA.5 BA.4 และ BA.2.12.1 จำนวน 1% หากเป็นข้อมูลสายพันธุ์ทั่วโลกที่พบโดยเฉลี่ยมีดังนี้ BA.2.12.1 จำนวน 27% BA.5 จำนวน 17% BA.4 จำนวน 8% และ BA.2.3 จำนวน 6%
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวว่าองค์การอนามัยโลก ระบุว่าโอไมครอนไม่ใช่สายพันธุ์สุดท้ายที่จะระบาด เป็นข้อเท็จจริงที่จะมีสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นจึงยังต้องระมัดระวัง ทำนายไม่ได้แน่ชัดว่าตัวใหม่จะมีอาการรุนแรงหรือลดน้อยถอยลง เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่สามารถฟันธงได้ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเกิดการรับรู้ เรียนรู้ มีความตระหนักแต่ไม่ตระหนก สำหรับประเทศไทยที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ไม่ได้มีข้อห้ามมากมายเช่นที่ผ่านมา ประชาชนก็ต้องพิจารณาตนเองว่าจะต้องป้องกันตนเอง ต้องดูแลตนเองอย่างไร โดยเฉพาะการเข้าไปอยู่ในที่มีคนแออัด ชุมชน มีความใกล้ชิดกัน ก็ยังควรจะสวมหน้ากากอนามัย รวมถึงมาตรการวัคซีนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะรับตามเกณฑ์กำหนด. -สำนักข่าวไทย