สธ.ย้ำฉีดวัคซีนช่วยลดอัตราเสียชีวิตได้ 41 เท่า

สธ. 21 มี.ค. – สธ.แจงข้อมูลการเสียชีวิตจากโควิดส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ตั้งเป้าก่อนสงกรานต์ฉีดให้ได้ 70% เพราะช่วยลดอัตราเสียชีวิตได้ 41 เท่า พร้อมปรับแนวทางการรับวัคซีนใหม่ในกลุ่มคน 18 ปีขึ้นไป เป็นการรับวัคซีนเข็ม 3 ต้องห่างจากเข็ม 2 นาน 3 เดือน ส่วนการรับวัคซีนเข็ม 4 ต้องห่างจากเข็ม 3 เป็นเวลา 4 เดือน ส่วนการรับวัคซีนโควิด ชนิด m-RNA ครึ่งโดส เป็นดุลยพินิจของแพทย์ และความสมัครใจของผู้รับ


นพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (21 มี.ค.) พบผู้ป่วยติดเชื้อ 23,540 คน ในจำนวนนี้ป่วยหนัก 1,464 คน ใส่ท่อช่วยหายใจ 514 คน รักษาหายป่วย 23,153 คน และเสียชีวิต 88 คน ซึ่งหากดูจำนวนผู้เสียชีวิตจะพบเป็นชาย 44 คน หญิง 44 คน ในจำนวนนี้ 98% เป็นกลุ่มคน 608 และในจำนวนผู้เสียชีวิต 46 คน คิดเป็น 52% ไม่ได้รับวัคซีน และมี 7 คน ที่รับวัคซีนแค่เข็มเดียว ส่วนอีก 29 คน รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว แต่เกิน 3 เดือน โดยอายุเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 73 ปี และจากการเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิต ตั้งแต่ 1 ม.ค.-19 มี.ค.65 พบว่ามีผู้เสียชีวิตรวม 2,464 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 2 คน และเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวถึง 2,135 คน ไม่มีโรคประจำตัว 90 คน และไม่ระบุ 239 คน ซึ่งโรคประจำตัวที่พบมากที่สุด คือ ความดันโลหิตสูง และจากข้อมูลของผู้เสียชีวิต พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับคนติดเชื้อ หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง อีกทั้งโอไมครอนติดเชื้อได้ง่าย และภาพรวมของผู้เสียชีวิต 57% ไม่ได้รับวัคซีน มีแค่ 31% ที่รับวัคซีนครบ 2 เข็ม

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า จากการติดตามประสิทธิผลวัคซีนป้องกันโรคโควิดในระดับประเทศของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเดือน ม.ค.65 พบว่าการรับวัคซีนมีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อ หากฉีด 2 เข็ม ป้องกันได้ 4.1% ส่วน 3 เข็ม ป้องกันได้ 56% และ 4 เข็ม ป้องกันได้ 84.7% และในส่วนการฉีดวัคซีน มีผลต่อการป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิต เมื่อฉีดวัคซีน 2 เข็ม ป้องกัน 54.8% หากฉีด 3 เข็ม 88.1% แต่กรณีป้องกันการเสียชีวิต พบว่า 2 เข็ม ป้องกันได้สูงถึง 79.2% ส่วนหากฉีดวัคซีน 3 เข็ม จะป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 87% ความเชื่อว่า ผู้สูงอายุไม่ออกไปไหนไม่ติดหรอก แต่ก็มีคนในครอบครัวออกไปพบปะคน ดังนั้น ควรมีการรับวัคซีนเพื่อป้องกัน จากการฉีดมา 120 ล้านโดส มีความปลอดภัย พร้อมย้ำการระบาดของโควิดเหมือนน้ำท่วม วัคซีนเหมือนเรือพาหนีน้ำท่วม ไม่จมน้ำเสียชีวิต ดังนั้นควรมารับวัคซีนเพื่อป้องกันน้ำท่วม เพราะขณะนี้จะพบคนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงาน ติดเชื้อจำนวนมาก


นพ.วิชาญ ปาวัน ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวถึงแนวทางการให้วัคซีนโควิด-19 ว่า ขณะนี้มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 127 ล้านโดส แบ่งเข็ม 1 จำนวน 54 ล้านคน เข็ม 2 จำนวน 50 ล้านคน เข็ม 3 ขึ้นไป จำนวน 22 ล้านคน และผลการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 17 มี.ค.65 มีมติเห็นชอบปรับแผนการฉีด ดังนี้ การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป คือ แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยมีระยะห่างจากเข็มที่ 2 ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทุกสูตร ส่วนการรับเข็ม 4 ให้มีระยะห่างจากเข็มที่ 3 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป และในกรณีที่กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ สามารถฉีดขนาดครึ่งโดส ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์และความสมัครใจของผู้รับวัคซีน ทั้งนี้ มีข้อมูลการศึกษาในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี ว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีการศึกษาในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเด็ก

ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเด็กอายุ 12-17 ปี ซึ่งเป็นคำแนะนำใหม่ว่า เด็กอายุ 12-17 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และจะรับวัคซีนชนิด m-RNA เป็นเข็มที่ 3 ขนาดโดสมาตรฐาน ให้มีระยะห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลาตั้งแต่ 4-6 เดือนขึ้นไป ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ส่วนคนที่มีประวัติติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว แนะนำให้รับวัคซีนโควิดหลักการเดียวกับผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน โดยให้วัคซีนหลังจากการติดเชื้อเป็นเวลา 3 เดือน

นพ.วิชาญ ย้ำว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุ เพื่อเตรียมความพร้อมเทศกาลสงกรานต์ ช่วยลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ 41 เท่า ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด เปรียบเทียบปี 2564 และปี 2565 ซึ่งประสบการณ์ในปี 2564 หลังสงกรานต์พบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้น แต่ด้วยปี 2564 ข้อจำกัดของวัคซีนเข้ามายังมีน้อย ดังนั้น ในปี 2565 จึงต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันและปกป้องผู้สูงอายุ ลูกหลานที่จะเดินทางกลับบ้าน ขอให้ฉีดวัคซีน และคลีนตัวเองก่อนเดินทางกลับ 1 สัปดาห์ โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุให้ได้ 70% ก่อนสงกรานต์.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง