สธ.จัดงาน Smart Living with COVID-19

กรุงเทพฯ 12 พ.ย.- “อนุทิน” เปิดงาน Smart Living with COVID-19 ทำความเข้าใจสื่อมวลชน และ Influencers ถึงนโยบายเปิดประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด แจงยึดความปลอดภัยประชาชนเป็นสำคัญ มีระบบเฝ้าระวัง ควบคุมป้องกันโรค ทีมสอบสวนโรค 3,000 ทีม สถานกักกันรองรับคนเดินทางเข้าประเทศ ห้องแล็บในการตรวจเชื้อทั่วประเทศ ยา ห้องแยกโรคและเตียงรองรับการรักษาพยาบาล


วันนี้ (13 พ.ย.)ที่ รร.พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน Smart Living with COVID-19 เปิดประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนทุกแขนงรวม 70-80 คน เพื่อทำความเข้าใจเชิงลึกถึงนโยบายการเปิดประเทศอย่างไรให้คนไทยปลอดภัยและเศรษฐกิจไทยไปรอด

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19ที่ผ่านมาประเทศไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นในการล็อกดาวน์ ทำให้ส่งผลกระทบกับชีวิตประชนอย่างมาก ขณะนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี รู้จักกับโรคนี้มากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายให้คลายล็อกเปิดประเทศบนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงสาธารณสุขจึงนำประสบการณ์และองค์ความรู้มาปรับเป็นมาตรการควบคุมโรคเพื่อเตรียมพร้อมรับมือการทยอยเปิดประเทศ ทั้งด่านเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรค ทีมสอบสวนโรคนับพันทีมที่พร้อมลุยงานเร่งด่วน มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนในการเฝ้าระวัง สถานกักกันโรคทุกประเภทมีห้องรองรับมากกว่า 8 พันห้อง มีห้องปฏิบัติการในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด 19 จัดเตรียมยาฟาวิพิราเวียร์กว่า 5 แสนเม็ด ห้องแยกโรคและเตียงเพื่อรองรับการรักษา รวมถึงมีความร่วมมือจากประชาชน


“เหล่านี้เป็นภาพรวมความพร้อม ในวันที่ประเทศไทยจะต้องเดินหน้าสู้กลับโรคโควิด 19 ภายใต้แนวคิด SMART LIVING WITH COVID-19 คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด ขอยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขมีประสบการณ์ ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ความพร้อม และมีแผนการในการรองรับการเปิดประเทศ ที่จะทยอยคลายล็อกหลังจากนี้” นายอนุทินกล่าว

นพ.เกียรติภูมิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคโควิด-19 นี้ยังไม่มีจุดสิ้นสุด ประเทศไทยจำเป็นต้องมองหาแนวทางการอยู่ร่วมกับโรคนี้ ซึ่งการเปิดประเทศเป็นทางเลือกทางรอดหนึ่ง แต่ต้องเปิดประเทศแบบคนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด จึงต้องเตรียมความพร้อมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อมวลชนและ Influencers ที่จะนำองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการความพร้อมในการเปิดประเทศไปเผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างถูกต้องต่อไป จึงเป็นที่มาของการจัดงานในวันนี้

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบในการเฝ้าระวังควบคุมโรค หากพบการติดเชื้อจะต้องรายงานภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคอย่างรวดเร็ว โดยดำเนินการผ่าน 3P for Safety คือ 1.Port Safety ด่านควบคุมโรคปลอดภัย มีระบบเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรค 2. Policy for National Quarantine Safety จัดทำนโยบายควบคุมโรคระดับชาติ มีระบบกักกันโรคและสถานกักกันโรคที่ได้มาตรฐาน และ 3. Public Health Emergency Operation Center (PHEOC) Safety มีศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่เป็นระบบ ทั้งการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเชิงรุก การจัดทีมสอบสวนโรคและรายงานภายใน 3 ชั่วโมงกว่า 3 พันทีมทั่วประเทศ และมีระบบสื่อสารความเสี่ยงตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีการเฝ้าระวังและตรวจทางห้องปฏิบัติการในกลุ่มที่มีอาการเข้าเกณฑ์ ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ และอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ผู้ต้องขังแรกรับ แรงงานต่างด้าว ฯลฯ


นพ.โอภาส กล่าวว่าสำหรับข้อเสนอการลดวันกักตัวผู้เดินทางจากประเทศที่มีความเสี่ยงโรคโควิด-19 ต่ำหรือใกล้เคียงกับประเทศไทยจาก14 วันเหลือ10 วัน อยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากมีข้อมูลประกอบการพิจารณาคือ ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดตรวจพบเชื้อภายใน10 วัน การพบเชื้อหลัง10วัน ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ เช่น กรณีดีเจร้านอาหาร หรือหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งไม่พบผู้สัมผัสติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ข้อมูลล่าสุดพบว่า ระยะการกักตัว 10 วันและ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน และเมื่อออกจากที่กักกันโรค จะใช้มาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การจัดระบบระบายอากาศ และมีระบบติดตามตัวทุกคน เพื่อรายงานอาการป่วย

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาล ขณะนี้มีเตียงกว่า 20,000 เตียงทั่วประเทศ การรับผู้ป่วยจะพิจารณาจากคนไข้ที่มีอาการหนักที่อยู่ในห้องไอซียู ทั้งนี้ จากการระบาดรอบแรกคนไข้นอนไอซียูเฉลี่ยประมาณ 17วัน ดังนั้น การเตรียมพร้อมครั้งนี้ ในกรุงเทพมหานครสามารถรองรับได้ 230-400 คน ทั่วประเทศรองรับได้1,000-1,740 คน ขณะที่ยาและเวชภัณฑ์นั้น จากข้อมูลเมื่อวันที่ 7ต.ค.63 มียาฟาวิพิราเวียร์ 628,304 เม็ด สำหรับผู้ป่วย 8,900 ราย ยาเรมเดซิเวียร์ 795 ขวด สำหรับผู้ป่วย 126 ราย หน้ากาก N95 คงเหลือ 2,782,082 ชิ้น ชุดPPE คงเหลือ1,959,980 ชิ้น มี 40 โรงงานกำลังการผลิต 6หมื่นชุดต่อวันและหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ คงเหลือ 50,922,050 ชิ้น มี 60 โรงงาน กำลังการผลิต 4,700,000 ชิ้น/วัน ทั้งนี้ กรมการแพทย์ได้มีการเตรียมการแพทย์วิถีใหม่ เพื่อพร้อมให้บริการทางการแพทย์กับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้แม้จะมีโควิด19 ระบาดใหม่ก็ตาม

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์ฯมีศักยภาพตรวจเชื้อเฉพาะกรุงเทพมหานครได้ถึงวันละ 10,000 ตัวอย่าง ต่างจังหวัดตรวจได้วันละ 10,000 ตัวอย่าง ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 238 แห่งทั่วประเทศ ที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่ชายแดนประมาณ 100,000 ราย พบผลบวก 1 ราย ถือว่ามีศักยภาพเพียงพอหากมีผู้สงสัยติดเชื้อและต้องตรวจเชื้อเพื่อยืนยันผล

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เตรียมพร้อมสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ที่ต้องผ่านมาตรฐาน 6 ด้าน ปัจจุบันมี 107 แห่ง มีผู้กักตัวสะสม 35,362 คนอยู่ระหว่างการกักตัว 6,201 คน กลับบ้านแล้ว 29,161 คน สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1,200 ล้านบาท 2.สถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine : AHQ) รองรับผู้ป่วยโรคอื่นที่เดินทางเข้ามารับการรักษา ปัจจุบันมี 173 แห่ง มีผู้ป่วยและผู้ติดตามเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลแล้วจำนวน 2,367 ราย รักษาเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 1,072 ราย กำลังรักษาอยู่ จำนวน 1,295 ราย สร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว จำนวน 1,272,827,982 บาท และ 3. อสม.ในการดำเนินการตำบลวิถีใหม่ โดยสำรวจสุขภาพใจ และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวแก่ประชาชน ให้มีสุขอนามัย มีวินัยและความร่วมมือในการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างในชุมชน

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะทยอยเปิดประเทศ แต่ประชาชนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ซึ่งกรมอนามัยได้ดำเนินการใน 2 มาตรการ หลัก คือ 1.ยกระดับมาตรฐานของสถานประกอบการทั้ง 10 สถานที่ มุ่งเน้นมาตรการ 3 ระดับคือ ระดับสถานที่ ระดับบุคคล และระดับชุมชน 2. มีการสื่อสารสร้างความรอบรู้และความตระหนักใน 5 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างเกราะป้องกัน 5 ด่าน คือ ล้างมือ สวมหน้ากาก โดยตั้งเป้าหมายให้ทั่วประเทศสวมหน้ากากอนามัยได้ร้อยละ 80 รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร ทำความสะอาดพื้นผิว และจัดระบบระบายอากาศภายในอาคาร นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ ก่อนเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ และขอให้สถานประกอบการ ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของแต่ละสถานที่อย่างเคร่งครัด .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

ทำเนียบ 2 ส.ค.-รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final […]

EOD เก็บกู้ระเบิดฝังอยู่ใกล้ปั๊มที่ถูกกัมพูชายิงใส่

ศรีสะเกษ 2 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายหัวระเบิด HE ของจรวด BM 21 ที่ฝังอยู่บนถนนกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อทำลายระเบิดที่ฝังอยู่ในถนน บ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ฝั่งมุ่งหน้าเขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือน โดยจุดที่ระเบิดถูกฝังบนถนนอยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นระเบิดที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม พร้อมกับเหตุการณ์ยิงกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบจุดที่ระเบิดฝังอยู่ในถนน เจ้าหน้าที่ชุดจากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่ 22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC โดยมีการปิดถนนรัศมี 1 กิโลเมตร […]

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]

โฆษก ทบ. ซัดเขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมร

2 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก ซัด เขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมรจนพิการและมีปัญหาทางจิต ยันมีหลักฐานชัดทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล จากกรณี สื่อกัมพูชาปั่นข่าวหนักโจมตีกล่าวหาไทย อ้างว่าปฏิบัติโหดกับ 2 ทหารกัมพูชาที่ถูกส่งกลับ จนพิการและมีปัญหาทางจิต พร้อมจะยื่นเรื่องถึงยูเอ็นนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 2 ส.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีที่ทหารไทยจับกุม และควบคุมตัว ทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับนั้น เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่าฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ […]