กรุงเทพฯ 30ส.ค.-กสศ. ลงนามความร่วมมือ10 สถาบันผลิตและพัฒนาครูโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 2ให้เป็นครูยุค 4.0 ที่เป็นทั้งครูและผู้นำชุมชน ตอบโจทย์การสร้างครูนักพัฒนาคืนชุมชน สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กขาดแคลนทุนทรัพย์ได้เรียนครู
นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น กสศ. และ ผศ.ดร.พิศมัย รัตนโรจน์สกุล ผู้จัดการโครงการฯ ร่วมลงนามความร่วมมือกับ10 สถาบันผลิตและพัฒนาครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 2 ด้วยแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ สร้างครูรุ่นใหม่หัวใจรัก(ษ์)ถิ่น” ใน โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเป็นครูรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน
รศ.ดร.ดารณี กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 2 กสศ. ได้คัดเลือกสถาบันการผลิตครูที่เชื่อมั่นว่ามีศักยภาพ เหมาะสมที่จะผลิตครูตามเป้าหมายได้ทั้งสิ้น 10 สถาบัน ซึ่ง กสศ. มีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน คือ ต้องเป็นสถาบันที่อยู่ในภูมิภาคที่เด็กสามารถมาเรียนได้ ไม่ห่างไกล และต้องเข้าใจภูมิหลังและบริบทของชุมชน และในรุ่นที่ 2 นี้ กสศ. มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่ดูบริบทและสภาพจริงของทุกมหาวิทยาลัยที่ผ่านการพิจารณามากขึ้น โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภูมิภาคเข้าร่วมพิจารณาทุกสถาบันเพื่อความเป็นธรรม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างสถาบันทั้งที่ได้รับคัดเลือก และไม่ได้รับคัดเลือก เพื่อให้สถาบันที่ไม่ผ่านเข้าร่วมโครงการในปีนี้ได้รู้ข้อบกพร่องและพัฒนาตนเองในปีถัดไป
“บางสถาบันเขียนโครงการดีมาก พอลงไปดูสภาพจริงไม่เป็นไปตามนั้น มีความไม่สอดคล้อง ไม่เป็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัยกับอาจารย์คณะที่จะดำเนินการ บางแห่งเขียนโครงการมาไม่โดดเด่น แต่ลงไปดูแล้วโดดเด่น เพราะฉะนั้นสภาพจริงจึงมีความสำคัญกว่า ปีนี้ กสศ. ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง อดีตผู้อำนวยการเขตศึกษานิเทศก์ มาช่วยกันลงพื้นที่ประเมินด้วยซึ่งกลยุทธ์ความเชี่ยวชาญของผู้ทรงคุณวุฒิจะมองออกว่า มีจุดเด่นหรือจุดด้อยอย่างไร “รศ.ดร.ดารณี กล่าว
โดยหลังการลงนามความร่วมมือ สถาบันผลิตครูทั้ง10แห่ง ต้องลงพื้นที่ไปค้นหาเด็กที่จะมาเรียนครูตามเกณฑ์ที่ กสศ. กำหนด ปัจจัยขั้นพื้นฐาน คือ 1. ปัจจัยด้านความยากจน ต้องมีรายได้เฉลี่ยรายครอบครัวไม่เกิน 3,000 บาท/เดือน 2. เด็กทุนและผู้ปกครองต้องอยู่ในภูมิลำเนาอย่างน้อย 3 ปี 3. เกรดเฉลี่ยสะสม 5 เทอม ไม่ต่ำกว่า 2.5 และ 4.ได้รับการค้นหาคัดเลือกโดยกระบวนการการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีเป้าหมายผลิตครูสู่โรงเรียนปลายทาง นอกจากมาตรฐานกลางแล้ว ครูรัก(ษ์)ถิ่น ต้องเป็นครูยุค 4.0 ที่ต้องเป็นผู้นำชุมชนได้ด้วย สอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงประถมศึกษา สอนได้แบบคละชั้นและทุกสาขาวิชา
“กสศ. มีข้อระมัดระวังเป็นบทเรียนจากรุ่นที่ 1 ว่าอาจารย์ต้องลงไปค้นหาเด็กถึงพื้นที่ ไม่ใช่รออยู่มหาวิทยาลัย แต่ต้องลงไปทำงานกับท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเด็กต้องขาดแคลนจริง ต้องไปดูถึงบ้าน สัมภาษณ์พ่อแม่ ศึกษาข้อมูลของเด็กจากชุมชน ให้ผู้นำชุมชน อย่างผู้ใหญ่บ้าน มีส่วนร่วมพิจารณา เพราะรู้จักคนในท้องถิ่นดี เมื่อมหาวิทยาลัยลงไปค้นหาเด็ก ก็จะรู้บริบทของโรงเรียนที่เด็กต้องกลับไปบรรจุเป็นครู รู้ว่าจะผลิตบัณฑิตของไปสอนเด็กแบบไหน ต้องออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมตามบริบทของโรงเรียนและท้องถิ่น อย่างไรเพื่อจะให้บัณฑิตที่จบออกไปมีองค์ความรู้ และมีทักษะ “รศ.ดร.ดารณี กล่าว
ผศ.ดร.ชัยฤทธิ์ ศิลาเดช รักษาราชการแทน อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี กล่าวว่า จากการเข้าร่วมโครงการ ในรุ่นที่ 1 มหาวิทยาลัยประสบปัญหาข้อมูลไม่ถึงเด็กและชุมชนที่เข้าไม่ถึงสื่อโซเชียล ทำให้เด็กบางคนที่ควรได้รับการสนับสนุนมากกว่าเสียโอกาส ดังนั้นวิธีที่ข้อมูลจะถึงเด็กได้ดีที่สุดคือโรงเรียนในพื้นที่ต้องให้คำแนะนำกับเด็กโดยตรง มหาวิทยาลัยต้องปรับกระบวนการเป็นเชิงรุก คือประสานข้อมูลไปยังโรงเรียนพื้นที่ก่อน เพื่อให้ทราบหลักเกณฑ์ วิธีการ ให้ข้อมูลกับเด็กที่อยู่ในความรับผิดชอบของโรงเรียนก่อนที่มหาวิทยาลัยจะประกาศรับสมัครอย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันไม่เกิดปัญหาเด็กมารู้ข้อมูลเชิงลึกทีหลัง ทำให้เด็กถอนตัวในช่วงที่คัดมาอยู่ค่ายแล้ว เพราะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้
“ เราไม่อยากให้เด็กตัดสินใจสมัครเข้าโครงการเพราะว่ามีทุนอย่างเดียว แต่อยากให้เด็กตัดสินใจบนพื้นฐานของความอยากเป็นครูอยู่ในพื้นที่จริงๆ เพราะเด็กต้องทำงานหนัก เรียนไม่เหมือนคนอื่น ต้องเรียนเสริมนอกเวลาเยอะ ซึ่งต่างจากการเรียนทั่วไป เพราะสถาบันต้องการให้เด็กนำประสบการณ์กลับไปเป็นครูเพื่อพัฒนาบ้านเกิด อันนี้เป็นเรื่องที่เด็กต้องรับรู้เพื่อเจตคติที่ดี ถ้าเราได้เด็กที่พร้อมตั้งแต่ต้นมหาวิทยาลัยก็จะพัฒนาต่อได้ง่าย โดยปีนี้มหาวิทยาลัยได้วางระบบให้โรงเรียนปลายทางที่เด็กจะไปบรรจุเป็นครูเมื่อจบหลักสูตรมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลและพิจารณาคัดเลือกเด็กมากยิ่งขึ้นเพื่อความชัดเจน ” ผศ.ดร.ชัยฤทธิ์ กล่าว
ดร.วิชญา ผิวคำ อาจารย์ประจำสาขาประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า นักศึกษาทุนครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1 ที่เข้าศึกษาในสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2563 มีจำนวนทั้งหมด 31 คน ทางคณะกำลังปรับหลักสูตรใหม่ เน้นการบูรณาการข้ามศาสตร์ โดยร่วมกับคณะอุตสาหกรรมการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ออกแบบรายวิชาใหม่ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความถนัด ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีอัตลักษณ์ของท้องถิ่น มีความสามารถแตกต่างกัน ซึ่งเราได้ผลักดันให้เข้าชมรมตามความชอบ เพื่อคลายความกังวลลดปัญหาคิดถึงบ้าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Shadow ติดตามเงาของครู นำเด็กลงพื้นที่ชุมชนดูการทำงานของครู เพื่อปลูกฝังการรักถิ่นเกิด การทำงานร่วมกับชุมชนให้มากขึ้น โดยหลอมรวม “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน ให้เชื่อมโยงกัน “โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ตอบโจทย์สำหรับเด็กที่ยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษามาก เห็นได้จากการลงพื้นที่สำรวจ มีการค้นหาเด็กอย่างเข้มข้นเข้าถึงตัวเด็กที่ยากจนในพื้นที่ห่างไกล ชุมชนชนบทจะได้มีครูที่อยู่ในท้องถิ่นจริง ลดปัญหาครูโยกย้าย สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง หากทำอย่างต่อเนื่องเชื่อว่าการศึกษาของโรงเรียนในชุมชนจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.วิชญา กล่าว.-สำนักข่าวไทย