วัดสวนแก้ว 5 ก.ค.- “พระพยอม” ยกคำ “หลวงพ่อปัญญา” คนบวชในพุทธศาสนา ขอเพียงปฏิบัติตัวดี บวชได้ ศรัทธาคนมองที่พฤติกรรม ไม่ใช่ผ้าเหลือง พร้อมย้ำสิ่งที่น่ากลัวกว่าในปัจจุบันคือคำว่า “สายมู” ทำให้คนลืมคำสอน ที่มุ่งให้นำศีลสมาธิปัญญาช่วยให้พ้นทุกข์ มากกว่าสวดภาวนาขอพร
พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวถึงกรณีกระแสวิจารณ์การบวชของพระเขื่อน ภัทรดนัย (เขื่อน เคโอติก) ว่าการบวชได้หรือไม่ได้ในพุทธศาสนาบ้านเรา 1.ดูเรื่องของเคยต้องคดีหรือไม่ กระทำผิดหนีคดีมา หรือเปล่า และ 2.บัณเฑาะก์ เบี่ยงเบนทางเพศ หรือเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคเรื้อน ก็ไม่สามารถบวชได้ การบวช มากจากคำว่า ปะวะชะ แปลว่างดเว้นทางฆราวาส เช่น การนุ่งห่ม การแต่งตัว เว้นจากกิจบ้านการเรือน มาบำเพ็ญเพียรทำกิจพระศาสนา มีสวดมนต์ ภาวนา เป็นต้น และยังหมายรวมถึงการปัด ออกจากความชั่ว ความเลว ให้ออกจากตัว ส่วนผู้มาบวชนั้นควรดูที่พฤติกรรมการทำตัวว่าเหมาะสมหรือไม่กับการบวชในพระพุทธศาสนาในสภาวะปัจจุบัน โดยขอยกคำเปรียบของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ว่าหากว่าคนบวชเป็นเหมือนอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ที่มีคุณวุฒิและปฏิบัติตัวดี วางตัวเหมาะสม สามารถอนุโลมให้บวชและโมทนาบุญด้วยได้ ความดีงามความศรัทธาของพระสงฆ์ควรดูที่พฤติกรรม ไม่ใช่อยู่ที่ผ้าเหลือง เพราะหากบางคนปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง ก็ถือว่าทำให้เกิดความอัปรีย์ ไม่สมควรบวช หรือนับเป็นพระสงฆ์
พระราชธรรมนิเทศ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวในการวางศรัทธาของคนในพุทธศาสนาขณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของพระสงฆ์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของคำว่า “สายมู” ที่ไม่จำกัดอยู่ในวัดอีกต่อไปบางที่ออกไปอยู่นอกวัด เช่น ตู้กดพระเครื่อง ซึ่งในพระพุทธศาสนาเขาไม่ทำกัน เหมือนตู้กดขายยา หรือแม้แต่การวางศรัทธาในบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไป วัดกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือสายมู แม้แต่รัฐบาลเองก็สนับสนุน มีนักท่องเที่ยวแห่เข้าไปเที่ยวชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน หรือแม้แต่การเคารพรูปศรัทธาบางอย่าง เช่น พระพิฆเนศ พระพรหม นี่ไม่ใช่พุทธแท้ ต้องพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้ให้หลักคำสอนอะไรเป็นเครื่องนำทาง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าท่านให้หลักธรรมคำสอนไว้เป็นแนวทางหลังปรินิพพานแล้ว เพื่อเป็นเครื่องออกจากทุกข์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ใช้เป็นเครื่องขจัดความโลภ โกรธ หลง ให้หมดไป.-สำนักข่าวไทย