ประจวบคีรีขันธ์ 31 ม.ค. – ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แถลงจับผู้ต้องหา 4 ราย ในคดีฉ้อโกงประชาชน ชักชวนลงทุนซื้อลอตเตอรี่ มูลค่าความเสียหายกว่า 24 ล้านบาท ผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 81 ราย
พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงซื้อขายลอตเตอรี่ในพื้นที่ อ.หัวหิน พร้อมด้วย พล.ต.ต.รักษ์จิต หม้อมงคล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พ.ต.อ.กิตติภพ ชมภูนุช พ.ต.อ.วิธิวัฒน์ ศรีทองจ้อย รองผู้บังคับการตำรวจภูธร พ.ต.อ.หงส์พรหม วิศิษฐ์ชนะชัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน เข้าร่วม ขณะนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย คือ นายภาณุพงศ์ อายุ 24 ปี พ่อค้าลอตเตอรี่ชาว อ.หัวหิน, นายบัณฑิต อายุ 23 ปี ชาว อ.หัวหิน, นายอนุสรณ์ อายุ 29 ปี ชาว อ.หัวหิน และนายอนุชา อายุ 33 ปี ชาว ต.เขาแก้วศรีสมบูรณ์ อ.ทุ่งเสลี่ยงจ.สุโขทัย ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
พล.ต.ท.ธนายุตม์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวว่า พฤติการณ์ของคดีนี้คือ ติดต่อชักชวนประชาชน คนที่รู้จัก และประกาศข้อความทางเฟซบุ๊ก ให้บุคคลทั่วไปทราบ โดยอ้างว่ามีโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นโควตาผู้ใหญ่รายหนึ่ง ชักชวนให้ร่วมสั่งจองโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งสามารถซื้อได้ในราคาถูกใบละ 78-79 บาท เป็นเหตุให้มีประชาชนหลงเชื่อกว่า 30 ราย โอนเงินสั่งจองสลากกินแบ่งรัฐบาลกับกลุ่มผู้ต้องหา ในช่วงแรกจะได้สลากตามที่สั่งซื้อ เมื่อผู้เสียหายสั่งซื้อสลากจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้น กลุ่มของผู้ต้องหาได้เงินไปแล้ว แต่ไม่ได้สลากมาส่งมอบให้ผู้เสียหายตามที่สั่งซื้อ
เมื่อผู้เสียหายติดตามทวงถามเงินคืน นายภาณุพงศ์จึงให้ข้อเท็จจริงว่านายอนุชา เป็นผู้รับเงินต่อไปอีกทอดหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งกว่า 30 ราย ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน 24,063,640 บาท เมื่อคณะพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงขอศาลจังหวัดหัวหินออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
กรณีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก และความเสียหายหลายสิบล้าน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานของกฎหมายฟอกเงินด้วย คณะพนักงานสอบสวนได้ประสานแจ้งไปยังสำนักงานเลขาธิการ ปปง. เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนกรณีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนจะได้เร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขยายผลต่อไปให้ถึงที่สุด และให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบประวัติของนายอนุชา พบว่าเคยก่อคดีฉ้อโกงประชาชนใน จ.สุโขทัย และท้องที่ สน.สายไหม และก่อเหตุมาหลายพื้นที่.-สำนักข่าวไทย