รัฐสภา 19 ก.ค.- “จุติ-ณัฐชา” ซัดกันกลางสภา หลังถูกจี้ตอบปมทุจริตการเคหะฯ ด้าน”จุติ” ยืดอกรับ บอกปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ขอไปหาเอกสาร ทำให้ “ณัฐชา” จี้ต่อ แน่จริงให้ตอบวันนี้ คำถามตอบได้ ทำไมไม่ตอบ
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจุติ ไกรฤกษ์รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับดูแลการเคหะแห่งชาติ แต่ปล่อยปละละเลยและมีส่วนร่วมในมหกรรมสร้างเพื่อโกง มหากาพย์การผลาญภาษีประชาชน ซึ่งมหากาพย์ชุดนี้เริ่มต้นจาก”โครงการเคหะสุขประชา” ที่นายจุติต้องการผลักดันอย่างมาก โดยอาศัยจังหวะช่วงโควิด-19 ระบาดอ้างว่าเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกให้ประชาชนได้เช่าแทนการขาย โดยจะสร้างให้ได้ปีละ 20,000 ยูนิต เป็นเวลา 5 ปี รวมทั้งสิ้น100,000 ยูนิต ขณะที่คนในการ
เคหะแห่งชาติเองก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากขณะนั้นยังมีบ้านการเคหะอีก นับหมื่นยูนิตที่นำมาให้เช่าได้ และ โครงการนี้หากจะคืนทุนต้องใช้เวลาถึง 200 ปี สิ่งที่เน่าเฟะกว่า กระบวนการผลักดันโครงการ ก็คือ กระบวนการจัดทำโครงการ โดยมีการสั่งแยกโครงการถมดินกับโครงการก่อสร้างออกจากกัน ซึ่งการเคหะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ผลที่ตามมาก็
คือ โครงการนี้ที่มีแต่การถมดินทิ้งไว้โดยไม่มีการก่อสร้าง ปล่อยทิ้งไว้ นานนับปีจนหญ้าวัชพืชขึ้นเต็มพื้นที่
นายณัฐชา ยังกล่าวอีกว่า แผนกินเหนือเมฆของ นายจุติ ยังไกลถึงการกินรวบและกินยาวผ่านการรวบรวมขุมทรัพย์ทั้งหมดของการเคหะมาไว้ที่บริษัทลูกเพียงแห่งเดียว เพื่อสามารถรับงานได้ทั้งหมด ตั้งแต่รับเหมาก่อสร้างไปจนถึง การดูแลผลประโยชน์เก็บค่าเช่าต่างๆ แล้วดันเข้าตลาดหุ้น เพื่อให้ตัว
เองหรือเครือข่ายสามารถเข้าไปถือหุ้นและหาประโยชน์ได้แม้ว่าจะหมด วาระการเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะโครงข่ายของตนเองยังคงอยู่หรือจะ มีอิทธิพลต่อไปในบอร์ดการเคหะ
นายณัฐชา กล่าวว่า เดิมทีแผนนี้ ต้องการทำผ่าน บริษัท จัดการ ทรัพย์สินและชุมชน จำกัด หรือเซ็มโก้ (CEMCO) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่มีอยู่แล้ว เพื่อแต่งตัวเลขนำเข้าตลาดหุ้น จึงได้ปั้นตัวเลขจากการนำไปรับ เหมาถมดินในโครงการเคหะสุขประชา ทั้งที่ไม่สามารถทำได้ตาม กฎหมายทำให้เฉพาะปี 63 ปีเดียว บริษัทนี้รับงานขุดดินทำรายได้ไป 821 ล้านบาท โดยไม่ต้องผ่าน e-bidding บิดอย่างเดียวคือบิดเบือนกฎหมายให้ตัวเองได้ประโยชน์
ทั้งนี้ การเคหะอ้างว่า ตัวเองถือหุ้นเซ็มโก้ มากกว่า 25% เลยเข้าข้อยกเว้น
ตาม พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ประกอบกฎกระทรวงปี 61 ให้สามารถ
จ้างบริษัทเซ็มโก้แบบเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งมีลักษณะตีความกฎหมาย อย่างศรีธนญชัย เพราะการที่กฎหมายอนุญาตให้รัฐวิสาหกิจจ้าง บริษัทลูก ได้แบบเฉพาะเจาะจง ต้องเป็นการจ้างในกรณีที่บริษัทลูกมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งตรงตามเนื้อหาของงานที่จะจ้าง ซึ่งจะจ้างบริษัทลูกแบบเฉพาะเจาะจงได้ ก็ต่อเมื่อเป็นงานที่บริษัทลูกทำเองอยู่แล้วจริง ๆ ไม่ใช่จ้างบริษัทลูกที่ต้องไปจ้างช่วงบริษัทอื่นกินหัวคิวต่อ แล ผู้ว่าการเคหะคนใหม่ที่มาจากเครือข่ายของจุติไปสั่งแก้ระเบียบให้ ไม่ต้องมีผลงานก่อสร้างมาก่อนก็รับได้ แถมยังให้เข็มโก้ จะรับงานการ เคหะพร้อมกันกี่ร้อยสัญญาก็ได้ ไม่ถูกจำกัดไว้ที่ 3 สัญญา เหมือนผู้รับเหมารายอื่น
นอกจากนี้ ยังให้เช็มโก้เบิกเงินล่วงหน้าได้ 15% ก่อนส่งงวดงาน ซึ่งขัดกับหลักการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่ต้อง คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ เรื่องนี้ คงปล่อยผ่านไม่ได้ หลังจบการอภิปราย คงต้องทำเรื่องยื่นต่อ ปปช. ตรวจสอบต่อไป
นายณัฐชา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า บมจ.เคหะสุขประชา ไม่เพียงตั้งขึ้นเพื่อหาประโยชน์จากหัวคิวแล้ว ยังเป็นภาระให้ลูกหลานในอนาคตด้วย โดยมีการร่างข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ว่าด้วยการ ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แก่บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ เพื่อเป็นการอนุญาตให้การเคหะแห่งชาติสามารถค้ำประกันเงินกู้ของ บมจ. เคหะสุขประชาได้ ซึ่งเวลานี้เฉพาะหนี้สินของการเคหะปาเข้าไป 40,000 ล้าน
แล้ว และนี้ของรัฐวิสาหกิจจะถูกนับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น การเข้าไปค้ำเงินกู่ให้กับ บมจ.ใหม่นี้ จึงเท่ากับว่าจะเพิ่มหนี้รายหัวต่อประชากรที่จะ ส่งผ่านไปถึงลูกหลาน โดยบริษัทใหม่มีแผนธุรกิจจะสร้างหนี้อีก 60,000 ล้านบาท ซึ่งร่างข้อบังคับนี้ ครม มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 หรือไม่ถึง 1 เดือน หลังจากที่มีมติเห็นชอบ ให้ตั้ง
บมจ.เคหะสุขประชา ซึ่ง โครงการเคหะสุขประชา คือ จุดเริ่มของการเขียน Story เพื่อเป็นข้ออ้างในการก่อตั้ง บมจ. เคหะสุขประชา ไว้เป็นสถานที่ต่อรอง ผลประโยชน์ รับงานมาขายให้ผู้รับเหมารายอื่น หักหัวคิว กินกันในหมู่ผู้ บริหารและผู้ถือหุ้น หรือต่อให้โครงการเคหะสุขประชาล้มเหลว ทำไม่ได้จริง มีแต่ถมดินดังที่ตนตั้งข้อสังเกตไว้ แต่ก็จะทำให้ บมจ.เคหะสุขประชา มีข้ออ้างในการได้ระดมทุนเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ รับเอาสินทรัพย์ของการเคหะมาบริหารมาปั่นตัวเลข ปั่นหุ้นขาย รวยเละ บนหนี้สาธารณะของพี่น้องประชาชนที่รออยู่
จากนั้น นายจุติ ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า จากการฟัง ได้มีการจดไว้หลายประเด็น มีทั้งข้อมูลที่เป็นความจริงบ้างไม่จริงบ้าง ซึ่งความรู้สึกของตนที่เป็นรัฐมนตรี ต้องการให้การเคหะแห่งชาติมีการเปลี่ยนแปลง และพร้อมสนับสนุนที่จะให้ไปยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำงานของตน โดยนายณัฐชา ได้อภิปรายย้อนไปถึงปี 2537 และ 2543 ซึ่งตนได้สั่งการผู้บริหารการเคหะฯ ไปหาเอกสารว่าข้อกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง มองว่า 90% ของข้อมูลที่ใช้อภิปราย เกิดตั้งแต่ก่อนตนเข้ามารับตำแหน่ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ตนยินยอมให้สภาตรวจสอบเต็มที่ แต่จะไม่ยอมให้ใครมาบิดเบือนข้อเท็จจริง ตนขอใช้เวลานิดเดียว เพื่อตรวจสอบข้อมูล 17 ประเด็น ที่ทำให้ตน การเคหะแห่งชาติเสียหาย และรัฐบาลเสียหาย โดยจะขอเวลาไปรวบรวมเอกสาร และใช้สิทธิ์ในการชี้แจงต่อสภาต่อไป เพราะหากปล่อยไว้ไม่ชี้แจง สภาก็จะเข้าใจผิดว่ามีการทุจริตจริง ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้ ได้มอบหมายให้ตนเข้าไปเเก้ไขปัญหาการทุจริตในการเคหะแห่งชาติ
จากนั้น นายณัฐชา ลุกขึ้นตอบโต้ว่า ตนอภิปรายนายจุติเพียงคนเดียว ในคำถามที่นายจุติจดไว้ก็สามารถลุกขึ้นชี้แจงได้เลยในประเด็นที่สามารถตอบได้ เช่น การแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนย้ำว่าต้องตอบว่าได้มีการคำขอ ไปยังสำนักงานพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือได้ทำคำขอไปในส่วนงานของพระองค์หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้สามารถตอบได้เลย เพราะล่าสุด ในกรรมาธิการงบประมาณ ส่วนงานในพระองค์ได้มีการชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่นายจุติ บอกว่า 90% ไม่ได้อยู่ในสมัยของตน นายณัฐชา ยืนยันว่า เนื้อหาเกือบ 50% เป็นของเคหะศุภชาจำกัด ที่ตั้งขึ้นในสมัยนายจุติ และมีคำยืนยันจากผู้ว่าการเคหะแห่งชาติที่อ้างถึงรัฐมนตรี
“จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นเรื่องในรุ่นท่านนี่แหละครับ ไปพูดคุยกันที่โชว์รูมแถวรามอินทรา อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าครับ เป็นเรื่องที่เขาพูดจริงๆ มีบันทึกชัดเจน แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องในสมัยท่านเป็นเรื่องในปัจจุบันท่านเราได้เลย มีผมคนเดียวครับที่อภิปรายท่านครับ พี่จุติครับ” นายณัฐชา กล่าว
นายจุติ สวนกลับทันทีว่า ต้องเอาความจริงมาสู้ ยังยืนยันว่าข้อเท็จจริงที่มีคนเล่าให้นายณัฐชาฟังเป็นเท็จเยอะมาก และนายณัฐชาเป็นคนพูดเองว่าอภิปรายรัฐบาลทุกครั้ง ยังจำได้หรือไม่ว่าเมื่อปีที่แล้ว 31 สิงหาคม ที่ได้อภิปรายใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ และมีการไปแจ้งความ 7 เรื่อง เพราะเอกสารที่นำมาเสนอมีลายมือชื่อเท็จ ชื่อที่นำมาเสนอก็ไม่ถูกต้อง ขอยืนยันว่าขอแสวงหาความจริงคืนนี้ ตนไม่หนี ท่านก็อย่าหนี
นายณัฐชา ลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมระบุว่า ปีที่แล้วตนอภิปรายกระทรวงกลาโหม ตนยังไม่ได้หมายเรียกเลย ถ้าตนผิดจริง กระทรวงกลาโหมไม่เอาไว้แบบนี้ และไม่สามารถมายืนอภิปรายให้นายจุติฟังได้ในวันนี้ ย้ำว่า เรื่องที่รู้ให้ตอบเลยแค่นั้นเอง จึงไม่ได้หมายความว่านายจุติจะหนี และตนก็ไม่ได้จะหนี อย่ามาพูดแบบตีโวหาร แบบนี้ไม่เอา แบบนี้อย่ามาทำ เสียสภา สภาอันทรงเกียรติแบบนี้ นายจุติก็เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ตนเพิ่งเป็น ส.ส.สมัยแรก และถ้าแน่จริงต้องตอบวันนี้เลย
นายจุติ จึงลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่า ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ให้สภาเสียเวลาจากนั้นก็เดินออกจากห้องประชุมทันที.-สำนักข่าวไทย