เพื่อไทย ชี้“ประยุทธ์”แจงเหมืองทองอัครา ไร้แก่นสาร

พรรคเพื่อไทย 21 ก.พ.- “จิราพร เพื่อไทย” เปิด 6 พฤติกรรม “ประยุทธ์” ชี้แจงประเด็นเหมืองทองอัคราไร้แก่นสาร ระบุ รัฐเลิกโยนความผิดรัฐบาลไทยรักไทย เหตุบริษัทเหมืองทองจัดตั้งในไทยก่อน รัฐบาลทักษิณ


น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ถือเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านต่อรัฐบาลในการตรวจสอบถ่วงดุลของฝ่ายนิติบัญญัติต่อฝ่ายบริหารตามวิถีทางในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านได้ซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี และเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้รับฟังคำชี้แจงเหตุผลในเรื่องที่ถูกอภิปราย โดยในประเด็นเรื่องเหมืองทองอัครา ได้ถูกนำมาเปิดเผยในสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง รวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี 6 พฤติกรรมที่การชี้แจงหรือตอบคำถามดังนี้ พฤติกรรมที่ 1 คือ ตอบเหมือนเดิม พรรคเพื่อไทยหยิบยกเรื่องนี้อภิปรายรวม 4 ครั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรี ที่ลุกมาตอบคำถามแทน กลับยังใช้ข้อมูลชุดเดิมที่ไม่ฟังขึ้น มาชี้แจงซ้ำซาก เช่น เมื่อถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของการใช้ ม.44 ก็จะตอบแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า การใช้ ม.44 เพื่อปกป้องประชาชนในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เคยย้ำถึงจุดยืนของเราหลายครั้งแล้วว่า เราเห็นด้วยที่รัฐบาลจะเข้าไปดูแลปกป้องประชาชนในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ต้องใช้กฎหมายปกติ เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้ ม.44 เข้าไปจัดการ เพราะได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศเพิ่มขึ้น สุดท้ายต้องเปิดเหมืองคืนให้กับบริษัทอัคราฯ และยังให้พื้นที่สำรวจแร่ทองคำเพิ่มอีกมหาศาล ประชาชนที่เคยเรียกร้องให้ปิดเหมืองวันนี้ก็คงจะงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดีใจได้เพียง 5 ปีเศษ นึกว่าจะไม่มีการทำเหมืองแล้ว กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีแนวโน้มที่พื้นที่ทำเหมืองจะเยอะกว่าเดิมหลายเท่าตัว พฤติกรรมที่ 2 เลือกตอบบางคำถามแต่ตอบไม่ตรงคำถาม ซึ่ง ตนเองได้ซักถามว่าเหตุใดถึงมีการเลื่อนออกคำชี้ขาดไปหลายครั้ง ได้รับคำตอบโดยอ้างว่าเพราะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ข้อเท็จจริงคือ การไต่สวนและสืบพยานหลักฐานของคดีเหมืองทองอัครา จบไปตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 คณะอนุญาโตตุลาการพร้อมอ่านคำชี้ขาดแล้ว แต่มีการขอเลื่อนการอ่านคำชี้ขาดจึงยังไม่ได้มีการตัดสิน และบริษัทคิงส์เกตฯ ยังแจ้งในแถลงการณ์ต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 เองว่า ไทยกับคิงส์เกตฯ ขอเลื่อนการออกคำชี้ขาดไปเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติข้อพิพาทกัน และยังระบุด้วยว่ากำลังเจรจาต่อรองกันทั้งหมด 11 รายการ อีกด้วย จะเห็นว่าทั้งๆ ที่มีหลักฐานเอกสารชัดเจนแต่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่ลุกขึ้นชี้แจงแทนก็ยังยืนยันเสียงแข็งปฏิเสธ แบบนี้ถือว่าเป็นการพูดเท็จกลางสภาฯ หรือไม่ พฤติกรรมที่ 3 ไม่ตอบคำถาม เนื่องจากสิ่งที่คนไทยอยากรู้มากที่สุดคือ ไทยถูกบริษัทคิงส์เกตฯ ฟ้องร้องในประเด็นใดบ้างและเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ และถ้าไทยแพ้คดีใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ ประเทศ ซึ่งคนไทยทั้งประเทศอยากฟังจากปากพล.อ.ประยุทธ์ แต่การเปิดเผยคำฟ้อง ซึ่งเป็นเอกสารปกติ ไม่ใช่ความลับ พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะเปิดเผยกับประชาชน เหตุที่ปิดเพราะละอายต่อสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดมหันต์ ใช่หรือไม่ แต่ถึงแม้พล.อ.ประยุทธ์ จะละอายต่อความผิดพลาดตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาป ยังจะมีพฤติการณ์เอาทรัพย์สมบัติชาติไปแลกให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งเดิมมีคดีพิพาทในพื้นที่แค่ 3,000 กว่าไร่ แต่ตอนนี้พอเกิดคดีพิพาทและคดียังไม่จบ แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับรีบอนุมัติคืนพื้นที่ 3,000 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นของกลางอยู่ ให้บริษัทอัคราฯ กลับไปดำเนินการได้แล้ว และยังได้พื้นที่สำรวจเพิ่มกว่า 400,000 ไร่ และจ่อจะอนุญาตคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่อีก 600,000 ไร่ รวมเป็นกว่า 1 ล้านไร่ ซึ่งในห้วง 1 ปีที่ผ่านมาตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัทอัคราฯ เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับการอนุญาตให้สำรวจแร่ในพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย พฤติกรรมพฤติการณ์แบบนี้ทำให้ยิ่งน่าสงสัยจนไม่มีใครเชื่อสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงแล้ว ทั้งยังมีอีกประเด็นในเรื่องของที่ดินที่รออนุมัติคำขอประทานบัตร 600,000 ไร่ ยังมีพื้นที่ทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ำวังทองฝั่งซ้าย จ.พิษณุโลก อีกด้วยน.ส.จิราพร ยังกล่าวว่า พฤติกรรมที่ 4 คือ ให้คนอื่นตอบคำถามแทน ซึ่งพฤติกรรมนี้ คล้ายกับเหตุการณ์เมื่อครั้งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดกรณีการทุจริตวัคซีนซิโนแวค พล.อ.ประยุทธ์ใช้วิธีให้ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงข่าวตอบคำถามแทนรัฐบาล ส่วนรอบนี้ ให้ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐมาอภิปรายชี้แจงแทน ซึ่งตามหลักการแล้วการยื่นญัตติ ม.152 เป็นการยื่นญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่ออภิปรายซักถามและเสนอแนะปัญหาต่อนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ซึ่งวันนั้นปรากฏว่า ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นอภิปรายชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามมารยาทต้องให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้ตอบ เพราะประชาชนต้องการฟังนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 และเป็นผู้รับผิดชอบต่อคดีนี้โดยตรง พฤติกรรมที่ 5 คือ กล่าวโทษทุกคนยกเว้นตัวเอง ทุกครั้งที่พลเอกประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงจะโทษทุกคน โทษฝ่ายค้าน โทษประชาชน แต่ไม่เคยโทษตัวเอง ล่าสุดมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลุกขึ้นชี้แจงโดยใช้วิธีเหมือนจะโยนความผิดเรื่องเหมืองทองอัคราให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเอาภาพตอน ดร.ทักษิณ ไปเปิดเหมืองทองอัคราในปี 2544 มาแสดงต่อสภาฯ ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ เพราะแม้เหมืองทองอัคราฯ ได้สิทธิส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และเริ่มดำเนินการผลิตทองคำเชิงพาณิชย์ในปี 2544 ตรงกับยุครัฐบาลไทยรักไทยพอดี แต่แท้จริงแล้วเหมืองอัคราฯ จดทะเบียนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2536 และได้เริ่มสำรวจแร่ในประเทศไทยปี 2537 และได้รับประทานบัตรทำเหมือง รวมเหมืองชาตรีใต้ในปี 2543 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีรัฐบาลพรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ทำพิธีเปิดเหมืองตามตำแหน่งหน้าที่ในตอนนั้น แต่จุดศูนย์กลางของปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนั้นแต่อย่างใด พล.อ.ประยุทธ์คิดอะไรไม่ออกก็โทษตระกูลชินวัตรพฤติกรรมที่ 6 ข่มขู่ผู้อภิปราย ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ มีการเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องฝ่ายค้าน ในการอภิปรายมาตรา 152 ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ข่มขู่ตนให้ระวังการนำเสนอข้อมูล ซึ่งตนยืนยันว่าไม่กลัว เพราะเอกสารหลักฐานที่นำมาแสดงต่อสภาฯ เผยแพร่อยู่ในเวปไซต์ บริษัทคิงส์เกตฯ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ หากเชื่อว่าเอกสารมีเนื้อหาเป็นเท็จ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปฟ้องร้องบริษัทคิงส์เกตฯ เอง หากท่านไม่ฟ้องร้องก็แสดงว่าข้อมูลทุกอย่างที่ดิฉันนำเสนอนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า หากไทยมั่นใจว่าจะชนะคดี เหตุใดจึงมีการเจรจาประณีประนอมยอมความระหว่างไทยกับคิงส์เกตฯ แต่ได้รับคำตอบว่าทำตามคำแนะนำคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองฝ่าย แต่อย่าลืมว่าคิงส์เกตฯ ฟ้องร้องประเทศไทย ประเทศไทยตกเป็นจำเลย ถูกเรียกร้องใช้ชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าไทยยืนยันว่าที่ใช้ ม.44 เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมั่นใจว่าจะชนะคดีแน่นอนเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เคยตอบคำถามสภาไว้ ก็ต้องยืนยันที่จะสู้คดีจนถึงที่สุด ถ้าชนะไทยไม่ต้องเสียอะไร และได้ค่าชดเชยคืนมาด้วยซ้ำ และพล.อ.ประยุทธ์ยังยืนยันหนักแน่นว่า การอนุมติให้นำผงเงินผงทองคำที่ถูกอายัดไว้ออกขาย การอนุญาตให้สำรวจแร่ทองคำที่ในพื้นที่จำนวน 400,000 ไร่ และการต่อประทานบัตรทำเหมืองทองชาตรี 4 แปลง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการประนีประนอมยอมความ หากไม่ใช่แล้วไทยเอาอะไรไปเจรจาต่อรองกับเขา เขาถึงยอมเจรจาด้วย มันมีมีจริงหรือไม่ที่จะมีการเจรจายอมความกันโดยที่ฝ่ายโจทก์ไม่ได้ประโยชน์ที่สมน้ำสมเนื้อกลับไป แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็บ่ายเบี่ยงไม่มีคำตอบในประเด็นนี้ ทำให้ประชาชนยิ่งเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจมีดีลใหญ่เพื่อแลกกับการถอนฟ้องจริงหรือไม่


ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ ลอยตัวเหนือปัญหาและโยนบาป โยนความรับผิดชอบมาให้ประชาชนต้องรับภาระแทน ไม่อยากเห็นประเทศไทยแพ้คดี และต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล และไม่อยากเห็นพลเอกประยุทธ์เอาทรัพย์สมบัติประเทศไปชดใช้แทนความผิดของตนเอง ซึ่งถ้าคำนวณออกมาแล้วมันอาจมากมายมหาศาลมากกว่าที่ไทยต้องชดใช้ในกรณีแพ้คดีเสียอีก เราไม่มีปัญหาหากบริษัทอัคราฯ จะได้สิทธิการทำเหมืองคืนตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง แต่เราไม่อยากเห็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมของประเทศของรัฐบาลโดยการไปเจรจาที่ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายภายในประเทศ ซึ่งจะก่อปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะจับตาต่อไปคือ เราจะติดตามว่าการเจรจาประนีประนอมยอมความนั้นถูกต้อง สุจริตหรือไม่ โดยใช้กลไกสภาผู้แทนราษฎรทุกช่องทาง และร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาชนที่มีอยู่ในการตรวจสอบรัฐบาล หากพบว่ามีความผิดปกติ และส่อทุจริต แน่นอนว่าเหมืองทองอัคราจะเป็นประเด็นสำคัญที่ใช้อภิปรายเป็นครั้งที่ 5 ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ที่จะถึงนี้

“คำพูดของชายชาติทหารที่ไร้สัจจะ ไม่ทำให้ดิฉันหวั่นไหวและเกรงกลัวในการทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์แทนพี่น้องประชาชนเลยแม้แต่น้อย เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ชายชาติทหารที่บอกว่ารักชาติรักแผ่นดิน และจะรับผิดชอบคดีเหมืองทองอัคราเองคนนี้ กลับมีพฤติกรรมกลับกลอก ผิดคำพูดตัวเอง เอางบประมาณแผ่นดินกว่า 731 ล้านบาท ไปใช้ในการต่อสู้คดีที่ตัวเองก่อขึ้น โยนความรับผิดชอบให้เป็นภาระของประชาชน ถ้าพล.อ.ประยุทธ์มีความเป็นสุภาพบุรุษชายชาติทหารที่พูดแล้วไม่คืนคำ ก็ขอให้คืนเงิน 700 กว่าล้านบาท ก้อนนั้นเข้าคลังแผ่นดิน” น.ส.จิราพรกล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ทหารเหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวน เจ็บ 3 นาย

ศรีสะเกษ 9 ส.ค. – กำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวน บาดเจ็บ 3 นาย โดย “จ.ส.อ.ธานี” หัวหน้าชุด ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 แถลงสถานการณ์การตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ประจำวันที่วันที่ 9 สิงหาคม 2568 ถึงเวลา 11.00 น. โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ร้อย.ร.111 ได้นำกำลังพลลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ บริเวณรอยต่อ โดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ โดยมี จ.ส.อ.ธานี พาหา เป็นหัวหน้าชุด และกำลังพล 2 นาย โดยระหว่างตรวจสอบเส้นทางได้เหยียบกับระเบิด เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 นาย (ส.1 […]

“ภูมิธรรม” เยี่ยมให้กำลังใจชาวสุรินทร์ ประสานนำผู้อพยพกลับบ้าน

สุรินทร์ 9 ส.ค.-“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจชาวสุรินทร์ ประสานคมนาคม นำผู้อพยพกลับบ้านโดยเร็วที่สุด สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด ดูแลประชาชนเป็นอย่างดี ให้ใช้งบเต็มที่ พร้อมประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนภูมิภาค ละเว้นค่าไฟ ค่าน้ำ ในช่วงที่เกิดการปะทะ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจุดแรกเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยเมื่อเดินทางถึง นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วย นายชูชัย มุ่งเจริญพร สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย มาให้การต้อนรับ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรามาด้วยความห่วงใย และทราบดีว่าประชาชนทุกคนมีความยากลำบากในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของเราเลย เป็นเรื่องที่ส่วนอื่นนอกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นคู่ขัดแย้งของเราทำขึ้น สร้างขึ้น และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ในขั้นต้น พวกเราทุกคนหน่วยหลัง ได้ทำการดูแลแผนพิทักษ์ส่วนหลังทั้งหมด พยายามดูแลทุกส่วนอย่างเต็มที่ […]

รถไฟด่วนพิเศษ ตกรางย่านสถานีกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค.-รถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ ตกรางย่านสถานีกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ช่วงเช้ามืดวันนี้ จนท.นำผู้โดยสารที่บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว ขบวนรถสายใต้เดินขบวนรถได้ตามปกติ แต่ล่าช้า เฟซบุ๊กทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย รายงานวันนี้ (9 สิงหาคม 2568) เวลา 05.15 น. เกิดเหตุขบวนรถด่วนพิเศษ ขบวนที่ 38/46 (สุไหงโก-ลก – กรุงเทพอภิวัฒน์) คันที่ 10-12 ตกรางย่านสถานีกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ – เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ นำตัวส่งโรงพยาบาล– ขนถ่ายผู้โดยสาร คันที่ 10-12 ทางรถยนต์– นำตู้โดยสารที่ไม่ได้ตกราง ทำขบวนต่อถึงสถานีปลายทาง ทั้งนี้ ขบวนรถสายใต้เดินขบวนรถได้ตามปกติ (ล่าช้า) การรถไฟฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1690 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บ 9 ราย เป็นพระภิกษุ 1 รูป เด็กหญิง […]

“ภูมิธรรม” บอกตั้ง “บุ๋ม ปนัดดา” สมน้ำสมเนื้อกับ “มาลี”

กทม. 9 ส.ค. – “ภูมิธรรม” บอกตั้ง “บุ๋ม ปนัดดา” เป็นโฆษก ศบ.ทก.จิตอาสา สมน้ำสมเนื้อกับ “มาลี” ชี้กองทัพพร้อมประสานข้อมูลเต็มที่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีตั้ง น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสา ศูนย์บริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีความไม่เหมาะสมเรื่องของข้อมูล และความน่าเชื่อถือ ว่า น.ส.ปนัดดา เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และมีความสนใจในเรื่องบ้านเมือง ซึ่งข้อมูลด้านการทหารอาจจะรู้ไม่เยอะเท่ากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่มีความตั้งใจ อีกทั้งการเข้ามารับตำแหน่งก็เป็นการเสนอจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งต้นคิดว่าเรื่องของการได้ข้อมูล เมื่อทางทหารสนับสนุนก็จะสามารถทำงานได้ดี นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นผู้หญิง เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนว่าใช้โฆษกทหารที่เป็นผู้ชายไปโต้แย้ง เราอาจจะเสียเปรียบกว่า ซึ่งเห็นว่า น.ส.ปนัดดา มีความเหมาะสมอยู่แล้ว ส่วนเรื่องข้อมูลก็ให้ประสานกับกองทัพอย่างเต็มที่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตรงนี้ตนคิดว่าสมน้ำสมเนื้อ เมื่อถามย้ำว่า ข้อมูลที่ น.ส.ปนัดดา จะพูดออกมา เป็นการกลั่นกรองมาจากทางกองทัพใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ประมาณนั้น […]