กกต. 2 ก.พ. – กกต. เปิดจำนวน ส.ส. 400 เขตเลือกตั้ง กทม.มากสุด 33 คน โคราช 16 คน ขณะที่จังหวัดเร่งแบ่งเขต 3 รูปแบบ จับตาเตรียมพร้อมเลือกตั้ง หากยุบสภาหรือกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการ กกต.ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการ กกต. มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร แจ้งประกาศจำนวนราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ และการเตรียมความพร้อมในการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. หลังสำนักทะเบียนกลางกระทรวงมหาดไทย ส่งประกาศสำนักทะเบียนกลางเรื่องจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 มาให้ และสำนักงานได้คำนวณจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2564 กำหนด เพื่อให้สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ที่จำนวน ส.ส.แต่ละจังหวัดจะพึงมีเกิน 1 คน เตรียมแบ่งเขตเลือกตั้งไว้เป็นการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 รูปแบบ และเมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับจะได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
สำหรับหลักเกณฑ์ในการคำนวณจำนวน ส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2564 มาตรา 86 โดยจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศที่สำนักทะเบียนกลางประกาศรวม 66,171,439 คน และกฎหมายกำหนดให้มี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน กกต.คำนวณจำนวนราษฎรเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน อยู่ที่ 165,428.5975 คน ซึ่งจังหวัดที่มี ส.ส.มากสุดยังคงเป็น กรุงเทพมหานคร 33 คน ตามมาด้วยนครราชสีมา มี ส.ส. 16 คน
โดยจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีทั้ง 77 จังหวัดโดยใช้จำนวนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค.2564 มีดังนี้
- ส.ส. 33 คน มี 1 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร
- ส.ส. 16 คน มี 1 จังหวัด คือ นครราชสีมา
- ส.ส. 11 คน มี 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น เชียงใหม่ และอุบลราชธานี
- ส.ส. 10 คนมี 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และบุรีรัมย์
- ส.ส. 9 คนมี 4 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ สงขลา และอุดรธานี
- ส.ส. 8 คนมี 5 จังหวัด คือ เชียงราย นนทบุรี ร้อยเอ็ด สมุทรปราการ และสุรินทร์
- ส.ส 7 คนมี 4 จังหวัด คือ ชัยภูมิ ปทุมธานี สกลนคร และสุราษฎร์ธานี
- ส.ส. 6 คนมี 5 จังหวัดคือ กาฬสินธุ์นครปฐม นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และมหาสารคาม
- ส.ส. 5 คนมี 7 จังหวัด คือ กาญจนบุรี นราธิวาส พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก ระยอง ราชบุรี และสุพรรณบุรี
- ส.ส. 4 คน มี 12 จังหวัด คือกำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ตรัง ตาก นครพนม ปัตตานี ลพบุรี ลำปาง เลย สมุทรสาคร สระบุรี และสุโขทัย
- ส.ส .3 คนมี 19 จังหวัด คือ กระบี่จันทบุรี ชุมพร น่าน บึงกาฬ ประจวบปราจีนบุรี พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต ยโสธร ยะลา สระแก้ว หนองคาย หนองบัวลำภู และอุตรดิตถ์
- ส.ส. 2 คน มี 10 จังหวัด คือชัยนาท นครนายก พังงา มุกดาหารแม่ฮ่องสอน ลำพูน สตูล อ่างทองอำนาจเจริญ และอุทยธานี
- ส.ส.1 คนมี 4 จังหวัด คือ ตราด ระนอง สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี
ทั้งนี้หากคิดจำนวน ส.ส.เป็นรายภาคโดยตามประกาศ กกต.เรื่องบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัด 2560 ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร 26 จังหวัด จะมี ส.ส. 139 คน ภาคใต้ 14 จังหวัดจะมี ส.ส.58 คน ภาคเหนือ 16 จังหวัด จะมีส.ส. 71 คน และภาคอีสาน 20 จังหวัด จะมีส.ส 132 คน
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2560 มาตรา 86 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวน ส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และการแบ่งเขตเลือกตั้งโดยให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะอยู่ครบวาระ 4 ปี นับแต่เลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศก่อนหน้านี้ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 24 มีนาคม 2566 ก็จะต้องใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ปี 2565 ที่โดยปกติแล้วสำนักทะเบียนกลางกระทรวงมหาดไทยจะประกาศในช่วงต้นเดือนมกราคมของปีถัดมา เป็นฐานในการคิดคำนวณจำนวน ส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี แต่การที่ กกต.ใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ปี 2564 เป็นฐานในการคิดคำนวณจำนวน ส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และสั่งให้จังหวัดเตรียมเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้งคู่ขนานไปกับการที่รัฐสภาจะพิจารณากฎหมายลูก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้อง คือร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองแล้วเสร็จ และประกาศให้มีผลใช้บังคับ ก็สามารถจัดเลือกตั้งได้ทันที กรณีดังกล่าวอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าอาจมีการยุบสภา และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปี 2565 ได้.-สำนักข่าวไทย.