ขอนแก่น 16 ต.ค.- “พิธา” ระบุ แพ้กี่ครั้งไม่เป็นไร ขอชนะครั้งเดียวพอ แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไป พร้อมเปิดตัว 3 ว่าที่ผู้สมัครภาคอีสาน
การประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 2 ของพรรคก้าวไกล ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น ในช่วงบ่าย เป็นการปราศรัยและแสดงวิสัยทัศน์ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ขอนแก่น เขต 1 นายวีรนันท์ ฮวดศรี ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
โดยนายพิธา เริ่มการปราศัยหยอดคำหวาน “ไม่เจอกันตั้งนานสบายดีบ่ คิดฮอดหลายๆ มาอีสานบ่อยครั้งก็รู้สึกดีใจผูกพันกับชาวอีสาน และมีความตั้งใจว่าจะเว้าอีสานให้ได้ในการปราศรัยครั้งหน้า” ซึ่งพรรคก้าวไกลเป็นหนี้บุญคุณภาคอีสานเป็นเบ้าหลอมความเป็นนักการเมืองของตน ตนแจ้งเกิดในฐานะนักการเมืองที่จ.สกลนคร เป็นครั้งแรก ทุกครั้งที่ตนมาอีสานต้องแสดงความผูกพันกับภาคอีสานเป็นพิเศษ ซึ่งการกลับมาในภาคอีสานในครั้งนี้มีเรื่องมากมายที่อยู่ในใจของตน
นายพิธา ระบุว่า ก้าวไกลสัญจรหลังปิดสภาฯครั้งนี้ ตนเดินทาง 3,000 กิโลเมตร ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอันดับ 2 ของประเทศ แม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ก็หึกเหิม ไม่ใช่เรื่องของเหนื่อยกายเพราะการเดินทางตลอดเวลา แต่รู้สึกเหนื่อยใจต่อการบริหารวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาล เมื่อเปิดโรงเรียนไม่ได้เด็กจำนวนมาก ที่ไม่มีอาหารเช้าหรือนมกิน ในช่วงวัยที่เจริญเติบโต ตนในฐานะพรรคการเมืองและพ่อคนหนึ่งพอฟังแล้วก็ใจสลาย ขณะเดียวกันราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ รู้สึกเหนื่อยใจในการฟังวิธีการแก้ไขปัญหาปศุสัตว์ พร้อมกับยืนยันว่า จะไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แม้จะรู้สึกเหนื่อยใจใจขนาดไหน และพร้อมที่จะกลับเข้าไปทำงานเมื่อสภานั้นเปิดสมัยประชุม
ขณะที่วิถีก้าวไกลจะต้อง นำเทคโนโลยีเข้ามาใส่ทุกอย่างจะแก้ได้ทั้งหมด ประเทศไทยเหมือนต้องคำสาปทุกท่านพัฒนา นี่คือสิ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรคพูด แต่สิ่งที่เป็นวิถีก้าวไกลทำให้ต่างจากภาคอื่น คือการที่รู้ว่าจะสร้างยูนิคอร์นให้กับประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งประเทศไทยกำลังติดช้าง คือระบบราชการรวมศูนย์ และเสือ คือระบอบปรสิตเสือนอนกินที่กัดกินประเทศไทยอยู่ พร้อมกับมองว่า การสร้างแอปพลิเคชันไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องยากคือต้องสู้กับนักรบราชการไทยที่นั่งอยู่ในห้องแอร์ และต้องมองว่าต้องมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ต้องสู้กับเสือนอนกินใหม่ทุนผูกขาด นักการเมืองท้องถิ่นที่ผูกขาด อะไรที่ส่งต่อประเทศไทย เมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา จะไม่สามารถส่งต่อประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ทั้งระบบเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งที่จะชนะระบบแบบนี้และการเลือกตั้งได้ ต้องมีทัศนคติอย่างราชสีห์ ที่แม้จะไม่ใหญ่เท่ากับช้างจะไม่เร็วที่สุดเท่ากับเสือจะไม่ฉลาดให้สุดเท่ากับลิง แต่มีทัศนคติที่สุภาพและเข้มแข็ง เข้าไปอยู่ในใจของประชาชนไม่ใช่เข้าไปอยู่ในหัวของประชาชน แต่เข้มแข็งพอที่จะขย้ำหัวใจของนักการเมืองที่เป็นศัตรูกับประชาชน และในที่สุดจนเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศใดได้
ส่วนการเดินทางไกล นายพิธา ระบุว่า การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งทุกคนคงทราบดี แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือการเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่โดดเดี่ยว สำหรับตนการเดินทางทั่วประเทศไม่เคยเหงา ไม่ใช่การเดินทางของตนคนเดียว แต่เป็นการเดินทางของคนธรรมดาทุกคนที่ถูกกดขี่จากความอยุติธรรมในประเทศนี้ เป็นการเดินทางของคนธรรมดาที่มีความฝันความหวังหลากหลายแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญที่สุด คือ เมื่อเลือกเดินแล้วห้ามหยุดเดิน พักได้เหนื่อยได้ท้อได้แต่ห้ามหยุดเดิน และไม่มีครั้งไหน เวลาไหน เดินมาได้ไกลขนาดนี้ ระบบรัฐสภาไทยไม่เคยมีการพูดถึงหรืออภิปรายที่สั่นสะเทือน ขณะนี้การทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์แบบระยะยาวมาไกลแล้ว นี่คือการเข้าใจถึงปัญหา นี่คือวิธีแก้ไขแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือกำลังใจที่ต้องเติมให้กันและกันในการเดินทางในครั้งนี้ แพ้กี่ครั้งไม่เป็นไรขอชนะครั้งเดียวพอแล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไป
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมองคนเป็นคน มองประเทศเป็นประชาชน สวัสดิการเป็นหน้าที่ของรัฐ เป็นสิทธิที่ทุกคนจะต้องได้รับ และเชื่อในศักยภาพของคนทุกคน ต้องการให้คนหนุ่มสาววิ่งตามความฝันได้อย่างสบายใจ ให้คนรุ่นปู่ย่าตายายรู้สึกภูมิใจสบายใจที่เห็นความสำเร็จของรุ่นลูกรุ่นหลาน นี่คือประเทศที่ก้าวหน้า เชื่อหรือไม่ว่าประชาชนจะดีกว่านี้ ถ้านายกรัฐมนตรีชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายก ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในนามพรรคก้าวไกล
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล บางส่วนขึ้นปราศรัย ประกอบด้วย นายชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จังหวัดขอนแก่น นายอดิศักดิ์ สมบัติคำ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 มหาสารคาม และนางอรนุช ผลภิญโญ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ.-สำนักข่าวไทย