ศาลฎีกา 24 ธ.ค.-ประธานศาลฎีการับเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะมีทั้งคนที่พอใจ ไม่พอใจการคำพิพากษา ยันหลักการทำงานเป็นกลาง ไม่ให้การเมืองเเทรกพิจารณาคดี
นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวประจำศาลยุติธรรม พร้อมด้วยบรรณาธิการสำนักข่าวพบปะเนื่องในโอกาสสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2564 เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงการทำงานของศาลฎีกา โดยผู้สื่อข่าวสอบถามนางเมทินีกรณีมีกระแสทางการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นกลาง ซึ่งนางเมทินี กล่าวว่า การทำงานของศาลพยายามอยู่ตรงจุดที่เป็นกลางที่สุดแล้ว จะไม่ให้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เวลาที่ถูกกล่าวถึงอ้างอิงถึงก็สุดแท้แต่คนจะมอง คือศาลจะถูกต่อว่าไม่ว่าจะมีคำสั่งหรือมีแนวทางใดก็ตาม
“เป็นธรรมชาติการทำงานของศาลว่าจะต้องมีฝ่ายหนึ่งพอใจ ฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ หรือไม่พอใจทั้งสองฝ่าย แต่อยากให้ทุกคนดูสิ่งที่เราทำออกไปว่าให้ความเป็นธรรมแล้วหรือยัง ดูดีหรือยัง ทุกครั้งจะเรียนท่านผู้พิพากษาว่าการมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาเรื่องใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ถ้าเรามีเหตุผลในคำสั่งนั้นชัดเจน ต้องให้เหตุผลให้เห็นว่าแต่ละเคส แต่ละคำสั่งที่แตกต่างกัน มีผลแตกต่างกันอย่างไร ผลออกไปถึงต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่คนดู จะดูผลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูสาเหตุว่าฟ้องข้อหาอะไร มีปัจจัยอะไร ในคำสั่งมีเหตุผลห้อยประกอบอย่างไร ส่วนเหตุผลจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ อันนี้แล้วแต่คนแล้ว แต่เชื่อว่าเราวางตัว เท่าที่ผ่านมาก็พอใจในการทำงานของท่านผู้พิพากษาในแต่ละศาล ท่านรักษาจุดยืนที่มั่นคงพอสมควรในการให้เหตุผลประกอบการมีคำสั่ง ถือว่าชัดเจน” ประธานศาลฎีกา กล่าว
นางเมทินี กล่าวถึงกรณีศาลเรียกไกล่เกลี่ยว่า จริงๆ ศาลอยากให้ทั้งสองฝ่ายที่ทะเลาะกัน มีข้อขัดแย้งกัน สามารถออกไปจากศาลด้วยความเป็นมิตรต่อกัน ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยเงินทั้งหมด แต่ยังรู้สึกว่ามีการชดเชยในบางส่วนได้ และศาลจะเป็นคนดูแลให้เขารู้ถึงสิทธิเหล่านี้ว่าทำอะไรได้บ้าง ภายหลังที่ศาลพิพากษาไปแล้ว เช่นกรณีให้ได้รับค่าสินไหมทดแทน จะดูแลจนกว่าจะบังคับคดีให้ได้รับเงินจำนวนนั้น โดยสามารถแต่งตั้งทนายความช่วยให้คำแนะนำได้ รวมถึงแจ้งสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาและการเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง.-สำนักข่าวไทย