“วิชา” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา นายวรยุทธ เผยหลังเชิญอัยการสูงสุด และ พล.ต.อ.สมยศ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุยังไม่สามารถชี้ถูกผิดใครได้ บอกไม่กดดัน ยังมีเวลาสอบสวนต่อไป พร้อมเผย พล.ต.ต.อภิชาติ ถูกกดดันหนักหลังเข้าดูแลคดีบอส และโดนย้ายอย่างไม่รู้ตัว พร้อมสอบสวนต่อไปจนกว่าจะถึงศาล
นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเชิญนายวงศ์สกุล และ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555
นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด มาชี้แจง ว่านายวงศ์สกุล ได้ยืนยันว่าการสั่งการของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นการสั่งการโดยที่ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้สั่งการคำสั่งเรื่องร้องขอความเป็นธรรม นายวงศ์สกุล บอกว่า แม้ว่า นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด จะได้รับมอบอำนาจการดำเนินการเรื่องคดีอาญาในเขตของศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ตาม แต่ว่าการสั่งโดยนายเนตร กระทบไปถึงกรณีการสั่งไม่ฟ้องซึ่งเป็นเรื่องการสั่งในคดี เราก็ถามว่าคำสั่งของนายเนตรไม่ทับอำนาจกับนายสมศักดิ์ เพราะเขาได้รับมอบอำนาจในการสั่งคดีนี้ อสส.ชี้แจงว่าเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องนี้ก็สำคัญเหมือนกัน เพราะกระบวนการในการสั่งร้องขอความเป็นธรรม แม้ว่าจะเป็นการสั่งอันเนื่องจากมีผู้ร้องมา แต่ปัญหาก็คือสิ่งที่ร้องมาจะต้องสั่งไปเกี่ยวพันกับคดีอย่างนี้ โดยนายเนตรมีอำนาจโดยสมบูรณ์หรือไม่ คณะกรรมการฯจึงขอร้องว่าหากเคยมีคดีลักษณะแบบนี้ ขอให้ช่วยส่งรายละเอียดคดีเหล่านั้นมาให้พิจารณาด้วย
นายวิชา กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มาชี้แจงว่า ในวันที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอ้างว่า ได้พานายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม ผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วรถ มาพบในวันที่ 26 ก.พ.2559 นั้น เขาไม่ได้อยู่ประเทศไทย แต่ไปประชุมที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และได้มอบเอกสารหลักฐานให้คณะกรรมการด้วย และยอมรับว่า เขาอยู่ในคณะกรรมาธิการที่มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็แสดงว่า ท่านปฏิเสธไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ยอมรับว่าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ในคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ชุดดังกล่าว และยอมรับว่าได้มีการส่งรายงานผลการพิจารณาไปที่ อสส.ด้วย
เมื่อถามว่าถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สมยศ และ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ให้ข้อมูลไม่ตรงกันนั้น นายวิชา กล่าวว่า เราจะไม่พูดว่าใครผิดใครถูกจะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการรับฟังข้อเท็จจริงยังไม่สิ้นสุด เนื่องจาก พล.ต.อ.สมยศไม่ยอมรับ ตามที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ และ พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ผู้กำกับ (สอบสวน) สน.ทองหล่อ ให้ข้อมูลไว้ หลังจากนี้คณะกรรมการจะปรึกษาหารือกันเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป สำหรับวันนี้เรียกว่าเราพบประเด็นขึ้นมาเท่านั้น
“ผมไม่รู้สึกหนักใจกับการทำหน้าที่ เพราะเราแค่ดูว่าอะไรคือข้อเท็จ อะไรคือข้อจริง ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน” นายวิชา กล่าว
เมื่อถามว่าสิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ชี้แจงมีน้ำหนักหรือไม่ นายวิชา ย้ำว่า เขาเพิ่งมายื่นวันนี้ ยังไม่มีการตรวจสอบ ต้องนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลอื่นๆ เสียก่อน
เมื่อถามว่าการที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ข้อมูลตรงกับตำรวจคนอื่นๆ เป็นการชี้ว่าข้อมูลของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ไม่ถูกต้องหรือไม่ นายวิชา ตอบว่า ยังไม่สามารถสรุปเช่นนั้นได้ เพราะเป็นเพียงการเริ่มรับฟังข้อมูลแต่ละบุคคล จะผิดหรือถูกยังไม่รู้ อย่าเพิ่งตัดสิน เพราะยังมีเวลาในช่วง 10 วันสุดท้าย
นายวิชา กล่าวต่อไปด้วยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาคณะกรรมการได้เชิญ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบ.สำนักงานส่งกำลังบำรุง ซึ่งในขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองงานต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นผู้ติดต่อกับอินเตอร์โพล เพื่อขอให้มีการออกหมายแดงจับนายวรยุทธ และได้รับทราบว่า หลังจากที่มีการดำเนินการดังกล่าว พล.ต.อ.อภิชาติ ถูกโยกย้ายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวหลายครั้ง และได้ไปอยู่ในสายงานที่เจ้าตัวไม่คุ้นเคย จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ไหนอีก และอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันจับตามองการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้าด้วย
เมื่อถามถึงความชัดเจนว่า คณะกรรมการฯทราบแล้วหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ถอนหมายแดงของนายวรยุทธ นายวิชา ตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครเป็นผู้ถอน แต่ในวันจันทร์นี้ได้เชิญตำรวจกองงานต่างประเทศคนปัจจุบันมาชี้แจง รวมถึงจะเชิญตำรวจที่เชียงใหม่ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง รวมถึงการชันสูตรพลิกศพและพยานในส่วนของตำรวจอีกหลายปากมาชี้แจงข้อมูลด้วย
นายวิชา กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ครบรอบ 20 วัน ซึ่งจะมีการส่งรายงานฉบับที่ 2 ให้กับนายกรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการ และครั้งหน้าจะพิจารณาข้อเท็จจริงในประเด็นทางกฎหมายที่กรรมการจะต้องพิจารณาว่าใครผิดใครถูกอย่างไร.-สำนักข่าวไทย