ศาลปกครอง 18 ส.ค.- เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีฯ ร้องสอด หลัง “บริษัท ซินเจนทา” ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตพาราควอต ฟ้องรัฐออกประกาศแบน 3 สารเคมีทำเสียหาย หวังใช้ข้อมูลโต้แย้งในคดี เผยเกษตรกรขีวิตดีขึ้นไม่พึ่งสารเคมีอันตราย
ศาลปกครอง เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและมูลนิธิชีววิถี นำโดย น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอเป็นผู้ร้องสอด ในคดีที่บริษัท ซินเจนทา คอร์ป โปรเทคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าสารพาราควอต ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยื่นฟ้องกระทรวงอุตสาหกรรมและพวก รวม 5 ราย ต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่แบนสารพาราควอต และคอลไพริฟอส ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา
น.ส.ปรกชล กล่าวว่า หลังรัฐบาลมีประกาศแบนสารเคมีดังกล่าวพบว่า บริษัท ซินเจนทาฯ ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลปกครอง ทำให้ทางเครือข่ายเห็นว่าจำเป็นต้องเข้ามาให้ข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์ในการสู้คดีของหน่วยงานรัฐ และเป็นการปกป้องประชาชน ให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายดังกล่าว ซึ่งบริษัทซินเจนทาฯ เป็นบริษัทที่ผลิตสารเคมีรายใหญ่ของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทั้งที่ประเทศนี้มีการยกเลิกใช้สารเคมีดังกล่าวมากว่า 20 ปี แต่บริษัทกลับมาเรียกร้องให้มีการยกเลิกประกาศแบนสารดีมีดังกล่าว
น.ส.ปรกชล กล่าวว่า สารเคมีทั้งสองตัวที่มีการยกเลิกนั้นเป็นสารอันตราย และกว่า 60 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงประเทศที่เป็นผู้ผลิตสารก็มีการยกเลิกการใช้ไปแล้ว เหตุผลหลักเป็นสารที่มีพิษ เกษตรกรในประเทศไทยไปฉีดพ่นสารนี้ทั้งที่มีการเจือจางก็ทำให้เสียชีวิตได้ จึงไม่สมควรที่จะใช้ แม้จะมีความพยายามในการป้องกันแล้ว ก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ และที่สำคัญสารตัวนี้มีความสัมพันธ์ต่อการก่อโรคพราคินสัน ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์ก็พบการตกค้างในพืชผัก แม้การใช้สารเป็นเพียงการฉีดพ่นวัชพืช สารนี้จึงมีพิษสูงโดยเฉพาะกับระบบประสาท เด็กทารกที่ได้รับสารนี้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ผ่านการรับประทานผักผลไม้ของมารดาที่ปนเปื้อนสารนี้ ก็จะทำให้มีปัญหาพัฒนาการทางสมอง และจะมีผลกระทบเรื้อรังไปตลอดชีวิต สารทั้งสองตัวนี้จึงควรต้องถูกแบนตลอดไป
นอกจากนี้หลังจากรัฐประกาศยกเลิกการใช้สองสาร ทางเครือข่ายได้ลงสำรวจเบื้องต้น พบว่าเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากไม่ได้พึ่งพาสารนี้อยู่แล้ว ผลสำรวจที่ออกมาเกษตรกรเห็นด้วยกับการยกเลิกสารดังกล่าว แต่ในพืชผักบางประเภท ยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ เรื่องสารทดแทนอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทางเครือข่ายพยายามจะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเข้าไปดูแล
นางนฤมล กล่าวว่า เรามีตัวอย่างของคนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารพารา ควอตในต่างจังหวัด มูลนิธิฯ กำลังช่วยเหลือในเรื่องของการดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งข้อมูลค่อนข้างขัดเจนว่าเป็นโรคที่เกิดจากผลกระทบของการใช้สารพาราควอต โดยผู้เสียหายที่เราช่วยเหลืออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคเนื้อเน่า อยากจะฝากถึงประชาชน ขอให้ทุกคนรณรงค์เลิกใช่สารเคมีนี้ เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ด้านนายอัมรินทร์ กล่าวว่าการที่เรามาร้องสอด เพื่อที่จะได้มีโอกาส เข้าไปตรวจสอบสำนวน และจะได้ร่วมจัดทำคำให้การ ข้อมูลเสนอต่อศาล ซึ่งเราจะพยายามโต้แย้งด้วยการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ว่าสารดังกล่าวมีอันตราย เพื่อให้ศาลได้ข้อมูลครบถ้วน รอบด้าน.-สำนักข่าวไทย